นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้
บทแทรกที่ 1
รัฐธรรมนูญเถื่อน(รัฐธรรมนูญโจร) พ.ศ.2550 มีความบกพร่องเป็นอันมาก เนื่องเพราะเขียนขึ้นอย่างสุกเอาเผากิน มีลักษณะสนองต่อระบอบเผด็จการ ไม่ตรงไปตามหลักรัฐศาสตร์ และอ้างหลักรัฐศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น
1. ไม่ได้ระบุถึงหลักการขององค์กรอิสระ ตามมาตรา 204 - มาตรา 258 ว่าเป็นองค์กรที่มาจากเจ้าของอำนาจอธิปไตย(คือประชาชน)อย่างไร มีความเชื่อมโยงไปถึงเจ้าของอำนาจอธิปไตย(คือประชาชน) อย่างไร
2. กรณีศาลรัฐธรรมนูญ (ตามมาตรา 204 - 217) ได้ทำการตัดสินคดีที่สำคัญยิ่ง เป็นผลให้มีการถอดถอนนายกรัฐมนตรี 2 คนจากตำแหน่ง ยุบพรรคการเมือง 4 พรรคการเมืองอย่างง่ายดาย เป็นองค์กรที่ไม่ได้ปฏิบัติงานและหรือตัดสินความไปโดยกฎหมาย ตามมาตรา 138(5) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ (เพราะยังไม่มีการบัญญัติกฎหมายนี้ มาบังคับใช้กับศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลพิจารณาไปอย่างไม่มีกฎหมาย...อันเป็นการขัดทั้งหลักการรัฐศาสตร์และหลักการนิติศาสตร์ ในหลักรัฐศาสตร์นั้นหมายถึงการพิจารณาไปตามการอนุมัติแนวทางพิจารณาโดยประชาชน(หากผ่านสภาผู้แทนราษฎร) อันจะแสดงถึงการเชื่อมโยงกับประชาชน ในระดับหนึ่ง แต่ได้ปรากฎว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีพรบ.นี้ใช้เป็นแนวทางพิจารณาตัดสินความเลย แต่ศาลรัฐธรรมนูญยังจะอาศัยสถานะอันไม่ชอบนี้ ทำการตัดสินคดีที่เสี่ยงต่อการต่อต้านคัดค้านของคนทั้งแผ่นดินต่อไปอีกคดีหนึ่ง คือคดีถวิล เปลี่ยนศรี .....
3. องค์กร ปปช. (ตามมาตรา 246-251) จำนวน 9 คน ไม่มีความเสมอในมาตรฐานของหน้าที่ โดยข้อเท็จจริงมีกรรมการ 6 คน ที่ไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ปฏิบัติหน้าที่ จึงมีความลักลั่นในสถานะบุคคล มองจากหลักรัฐศาสตร์องค์กรหรือหลักรัฐประศาสนศาสตร์แล้วแท้จริงเป็นการทุจริตชนิดหนึ่ง ไม่สมควรจะได้ชื่อว่า ปปช.หรือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
4. กล่าวมาเป็นตัวอย่าง มีอีกหลายกรณีในรธน.2550 นี้ที่เขียนขึ้นอย่างอ้างหลักรัฐศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง เช่น ในเรื่ององค์กรอิสระ อ้างไม่ถูกหลักการ ก็เลยบัญญัติองค์กรมากมายหลายองค์กร ทั้ง ๆ ที่แท้จริงควรมีอยู่เพียง 2 องค์กรเท่านั้นเอง คือ กกต. กับ องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐ ก็ถือว่าบัญญัติขึ้นมาโดยขัดหลักรัฐศาสตร์ว่าด้วยพรรคการเมือง และการเลือกตั้งโดยการเสนอนโยบายให้หลายหลาก...ทันยุคทันสมัย เพื่อการพิจารณาเลือกของประชาชนได้หลายหลาก ทันยุคทันสมัย ..... เป็นต้น (น่าดู กรณีนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตลก.รธน. มีเหตุผลที่คัดค้านไม่อนุมัติหลักการกู้เงิน 2 ล้าน ล. บาท ว่า รัฐบาลควรไปทำถนนลูกรังให้ทั่วประเทศก่อนดีกว่า นั่นเป็นการสร้างหนี้สินมหาศาลแก่ประเทศ ลูกหลานต้องแบกรับภาระหนี้ไปเป็นศตวรรษ...ดูว่านโยบาย ตลก.รธน.เช่นนี้ มีประชาชนคนไหนรับได้บ้าง?...และดูว่าคนระดับนี้...เหมาะสมแก่การนั่งตรงนั้นอย่างไร มิลากประเทศถอยหลังไปสู่ยุคไดโนเสาหรือ?)
5. ในเมื่อ รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร เมื่อมีองค์กรอิสระ ก็พลอยเถื่อนไปด้วย นั่นคือขาดความชอบธรรมที่จะปฏิบัติหน้าที่อยู่แต่แรกแล้ว ...และการพิจารณาไปตามรธน.เถื่อนที่อ้างหลักการรัฐศาสตร์ไม่ถูกต้องเลย จะเป็นเหตุให้เกิดการลุกฮือต่อต้านของประชาชน ขนาดใหญ่ ก็ควรจะพิจารณาตนเอง ลดบทบาทลงเสีย
- สุไหงปาดี ชินะกุล
24 เม.ย.2557 23.30.23 น.
บทแทรกที่ 2
ท่านอ้างเสมอว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เป็นรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร ถ้าเช่นนั้นท่านปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร ไปทำไม ? ท่านก็ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจรไปด้วย มิใช่หรือ? ฉะนั้น ท่านเหมือนเกลียดตัวกินไข่ เมื่อได้ประโยชน์ก็สรรเสริญ เมื่อไม่ได้ประโยชน์ก็ด่าว่ารัฐธรรมนูญเถื่อนรัฐธรรมนูญโจร ...?
นั่นเป็นคำถามที่บ่งบอกวิสัยที่คับแคบ ไร้เหตุผลอย่างยิ่ง
ก็เวลานั้น คุณเอากองกำลัง กองทหารทั้งกองทัพ มี สนธิ บุณยรัตนกลิน(ปลดยศ พล.อ.แล้ว) ที่คุมกองกำลังอาวุธทับดิน...ทับน้ำ...ทับลม....ทั้ง3กองทับมาปลดจี้เราให้ออกไป มึงไม่ออกไปกูจะเป่าขมองมึงให้ดับดิ้นลงเดี๋ยวนี้ (ถ้าคุณไม่ไป คุณคิดหรือว่ามันจะไม่เป่าขมองคุณ) ตั้ง คมช.แล้วร่างกฎเถื่อนนี้ขึ้นมา.....คมช.มันก็เลือกเอาคนของมันทั้งนั้น ไปสุมหัวกันที่สนามม้า มีนายมีชัย ฤชุพียธุ์ ที่ว่าเก่งกฎหมายนั่นแหละมาเขียนกติกาโจรขึ้นมา แล้วประกาศออกไปทั่วราชอาณาจักรว่า บัดนี้ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกองค์กร ทุกส่วนราชการงานเมือง ถือปฏิบัติตามกฎใหม่นี้ ....ก็นี่แหละรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ...รัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร
ไม่เคยดูหนังโรมันยุคเรืองอำนาจบ้างหรือไร ? นับตั้งแต่ยุคพระเยซู แห่งศาสนาคริสต์ มา เวลาโรมันแผ่อาณาจักรไปในดินแดนต่าง ๆ จนได้เป็นเจ้าโลก โรมันก็จะต้อนเอาชะเลยศึกมาด้วย ที่เป็นนักรบนักสู้หรือระดับพระราชา ก็เอามาขังไว้ในกรง ใต้ฐานโคลีเซียม คือสนามกีฬาขนาดยักษ์ รอการกำจัดให้สิ้นเสี้ยนหนามไปอย่างแยบยล ก็นัดประชาชนมาดูกีฬา ชาวโรมันยุคนั้นโปรดปรานการกีฬาเป็นชีวิต และมีวีรบุรุษเกิดจากสนามกีฬานี้ไม่เคยขาด เอานักรบเชลยเหล่านี้แหละออกมาสู้กันเองบ้าง สู้กับสิงโตบ้าง เสือบ้าง โดยกติกาของโรมัน(กติกาที่ชะเลยเสียเปรียบทุกประตู ทางรอดยาก ก็เพราะเขาเจตนาเอามาประหารนั่นเอง) แต่ที่พิเศษ คือ ให้สู้กับวีรบุรุษนักรบโรมัน ....... ถ้ารอดก็รอด ไม่รอดก็ตาย .........บังเอิญมียุคหนึ่ง ที่เป็นศึกอาฆาตแค้นผสมเรื่องรักพิสวาทอันลึกซึ้ง ในระบอบกษัตริย์โรมันเอง ชะเลยที่จับมาได้วางแผนแก้แค้นกษัตริย์โรมมาอย่างดี ..... และยอมรับเงื่อนไข กติกาทุกอย่างที่โรมกำหนดให้อย่างได้เปรียบ ...... ในความจริง เขาต้องเป็นนักรบที่ซุ่มฝึกฝีมือมาอย่างดีแน่นอน จึงสามารถผ่านแดนรถศึก ผ่านแดนสิงโตไปได้ ...เขาปล่อยสิงโตขึ้นมากลางสนาม อย่างไม่รู้ตัว สิงหโตกระโดดเข้าฮุบเหยื่อแต่เหยื่อล้มตัวลงทันพร้อมสอดปลายดาบเข้าหว่างท้องมัน ๆ ตกลงมาตุ๊บ ตายไปทีละตัว ๆ (เวลาสิงโตจะปฏิบัติการ มันจะกระโดดสูงก่อน นักรบก็เตรียมแผนมา ก็ล้มตัวลง เอาดาบสอดเข้าท้องมัน เท่านั้นเองมันก็ตกลงมาตายหมด...) ......... แล้วสู้กับยอดทหารรสุดโหดของโรมัน 4 คน แต่ละคนถืออาวุธคนละอย่าง น่าจะรอดยากจริง ๆ(ที่ผมเสียวมาก ๆ ก็คือลูกตุ้มเหล็กมีสายโซ่ยาว มันแกว่ง ๆ หมุนรอบตัว จนกลายเป็นกงจักร แล้วมันก็ปล่อยออกมา ..ใจหาย...พระเอกเอาดาบรับพอเหมาะพอดียังกับการแสดง ลูกตุ้มก็หมุนรอบดาบ แทนที่จะหมุนรอบคอเหยื่อ ดึงมาเบา ๆ เอามีดสั้นแทงสวนไป นักรบลูกตุ้มก็ดับชีพ...เฮอ!! สนุก เพราะฝ่ายที่เราเชียร์ชนะ) แต่ วีรบุรุษที่แท้จริงก็รอดได้ จนกษัตริย์ ต้องลงสู่สนามเอง ..... แสร้งวำตนเป็นนักรบที่จิตใจสูง ทำเป็นว่าใจดี ใจเป็นธรรม ปากประกาศถึงความชื่นชมคู่ต่อสู้ ว่าเก่งจริง ขอจับมือด้วย (เพื่อหลอกประชาชนให้ชื่นชมตน) ตอนนี้รู้กันแล้วนะครับว่าใครเป็นใคร ที่แท้ก็ปลอมมาแก้แค้นและชิงคนรักผู้สูงศักดิ์คืน นั่นเอง ปากก็หลอกลวงว่า เราจะสู้กันอย่างยุติธรรมในสนามแห่งเกียรติยศ แล้วพอเผลอก็เสียบมีดสั้นลงที่โคนแขนขวาของคู่ต่อสู้ .... เพียงตัดกำลังคู่ต่อสู้ลงไม่เจตนาให้ตายขณะนั้น ..... แล้วสู้กัน ในสายตาประชาชนก็มองเห็นความเป็นธรรม .......และแล้ววีรบุรุษชนะ แผนตัดกำลังเกือบหวุดหวิดสำเร็จ ....แต่ แพ้ พอล้มลงกลางดิน ยกหอกสูง ...ประชาชนก็ร้อง ฆ่ามัน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เพราะเขามองความยุติธรรมในสนามการต่อสู้ ....โดยฝีมือล้วน ๆ ..... ไม่ได้มองว่าใครเป็นใคร....คุณคิดว่าอย่างไร ถ้าคนไทยก็คงคิดว่า เมตตามัน อย่าฆ่ามันเลย.....แต่นักรบเขาไม่คิดอย่างนั้น ถ้ารักชีวิตจะลงสู่สนามรบได้อย่างไร (เหมือนนายสุเทพ เทือกสุบรรณขณะนี้แหละครับ เมื่อคุณรักจะเป็ฯกบฏคุณก็ทำไป แต่คุณต้องรับผลของมันอย่างหน้าชื่นตาบาน) ฉะนั้น คำสั่งประชาชน ฆ่ามัน ๆ ๆ ๆ ๆ จึงได้รับการสนอง และคนขี้ขลาดกลัวตายจึงไม่มีโอกาสอยู่ต่อไป
ก็เหมือน คมช. 2549 นี่แหละครับ เขียนรัฐธรรมนูญเอาเอง กำหนดกติกาเอาเอง หวังว่าใชข้มาตรการเอาเปรียบทุกอย่าง เอากองทัพทั้งกองทัพไปปิดล้อมบังคับประชาชนให้ลงคะแนนให้อมาตย์ ก็จะชนะการเลือกตั้ง ...... โดยได้รับคำสรรเสริญว่าชนะโดยความเป็นธรรม แต่ชนะไหมครับ ?
มันแพ้ราบเรียบเลย
มันก็ไม่ยอมยังไงล่ะครับ ไม่ยอมมาจนถึงขณะนี้ พวกมันไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งสำเร็จ
กกต.เถื่อน ...............
ก็ดูว่าจะทานพลังประชาชนได้อย่างไร ? เพราะยุคนี้ ไม่ใช่โรมัน แต่ยุคประชาธิปไตย
ยอดเยี่ยม ยิ่งยง
26 เม..2557 10.30.30 น.
ความเห็นที่ 25 (3388870)
เราจะมาพูดถึง นิติศาสตร์ ที่กำลังสับสนและก่อปัญหาน่าอันตรายอย่างยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติอยู่ขณะนี้
โดยนักนิติศาสตร์ได้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นอย่างแรง จนกลายเป็นนักนิติศาสตร์หลายฝ่ายหลายสำนัก ที่ถกเถียงกันในวงการแคบ ๆ คือวงการนิติศาสตร์ของตนเอง เหมือนกบในกะลา ไก่จิกตีกันในกรงขัง จึงยังหาจุดจบลงไม่ได้
โดยมี องค์กรอิสระ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นตัวปัญหา
แท้จริงถ้าเราเข้าใจว่า นิติศาสตร์เป็นเพียงศาสตร์แห่งการรับใช้ กล่าวคือ นิติธรรม นิติวิธี หรือวิถีทางแห่งนิติศาสตร์ เป็นวิถีทางแห่งการรับใช้ หรือคนรับใช้ นิติศาสตร์ไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นนาย (แต่เป็นขี้ข้า)
องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเราก็ได้เคยตรัสเตือนนักกฎหมายไว้ว่า.....กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือ....เมื่อจำเป็นต้องแก้ไขก็แก้ได้ ......(ลองไปค้นดูนะครับ) อันบอกความหมายของการรับใช้ ไม่มีอำนาจโดยตัวเองมาแต่เดิม แต่ได้อำนาจมาจากนายอีกทีหนึ่ง และนาย ย่อมแก้ไข หรือยกเลิก เลิกจ้าง ได้ จริงไหมครับ ?
ผมกำลังจะพูดถึงประเด็นนายกรัฐมนตรีรักษาการณ์นะครับ
คุณอย่าไปดูที่คนรับใช้สิครับ ต้องไปดูที่เจ้านายเขา คือหลักรัฐศาสตร์
ถ้าาคุณจะเอานิติศาสตร์ตัดสิน ในเมื่อมันได้บ่งบอกถึงความไม่ชอบมาพากลของตัวบทหลายบทที่ขัดแย้งกัน เชิงนิติศาสตร์ น่าก่อเกิดกลียุคขึ้นอยู่เช่นนี้แล้ว จะอาศัยนิติศาสตร์ตัดสิน มันก็เท่ากับตั้งใจทำลายประเทศชาติเท่านั้นเอง โดยโง่เขลา
ซึ่งคุณจะไปทำเช่นนั้นทำไม ?
คุณไปดูหลักรัฐศาสตร์ซีครับ อย่าหาว่าผมสอนเลย
หลักรัฐศาสตร์นั้นคือการอธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีรัฐบาลผู้ทำหน้าที่บริหาร หรือขับเคลื่อนประเทศให้เดินไป และความสำคัญตรงนี้มีมากมายขนาดไหน คำว่าผู้นำหรือนายกรัฐมนตรีนั้นหมายถึงความสำคัญในประเด็นไหนที่มีความ สำคัญอย่างยิ่ง?
เขาอุปมาเหมือนเรือใหญ่ ประเทศเปรียบเสมือนเรือใหญ่ หรือที่เห็นชัดกว่าก็คือรถครับ คนทุกคนอยู่บนรถคันเดียวกัน มีรัฐบาล คือหัวหน้ารัฐบาล บ้านเราก็คือนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถือพวงมาลัย .......... เข้าใจแล้วยังครับว่า.....ในขณะใดขณะหนึ่งต้องมีผู้ถือพวงมาลัยรถจึงจะวิ่งไปตรงทางอย่างปลอดภัย
มีเรื่องหนึ่งที่เป็นอุทาหรณ์ก็คือคราวยุโรปเขาตกลงกันทำยุโรปเป็นอียู คือสมาคมประเทศยุโรป เปิดแดนถึงกัน เปิดสกุลเงินเดียวกัน กว่าจะตกลงกันได้ก็นานหลายปี คราวนั้นก็ฉลองกัน มีมิตรประเทศมาร่วมฉลอง แล้วเขาก็ถ่ายภาพให้เห็นพวกนายกรัฐมนตรี-ประธานาธิบดี ผู้นำประเทศเขาขึ้นขี่รถจี๊ปคันเดียวกันแน่น มะรุมะตุ้มกันไปหมดเพราะรถคันเล็ก บางคนก็ห้อยโหนกันไป น่าหวาดเสียว ขับออกสู่สนามฟุตบอล ขับวนไปวนมาอย่างสนุกสนานครึกครื้น ประเด็นคือเขาให้นายจอร์จ บุช ปธน.สหรัฐถือพวงมาลัยรถ คนอื่นช่วยชี้ไม้ชี้มือบอกทาง คนนั้นชี้ให้เลี้ยวขวา คนนั้นชี้ให้เลี้ยวซ้าย....แต่ไม่มีใครแย่งพวงมาลัยจากนายบุช ปล่อยให้ถือพวงมาลัยจนจบ
เขาทำเป็นเครื่องเตือนสติกันเองไงครับ และมีความหมายทางรัฐศาสตร์ ว่าการบริหารประเทศนั้นจะต้องมีนายกรัฐมนตรี ทำการบริหารไป ตลอดที่มีประเทศเดินไปอยู่ เหมือนตลอดที่รถมันวิ่งไปอยู่นั้น จะต้องมีคนถือพวงมาลัย และแม้คนถือพวงมาลัยเอง ก็จะปล่อยมือไม่ได้เป็นอันขาดอีกด้วย และในวาระเช่นนั้น จะไม่มีการเปลี่ยนคนถือพวงมาลัยเป็นอันขาด(เหมือนทางทหารว่า อย่าเปลี่ยนม่าศึกกลางลำน้ำเชี่ยวนั่นแหละครับ) เพราะรถมันต้องเลี้ยวซ้ายเลี่ยวขวา อุปมาเหมือนบ้านเรา รถกำลังวิ่งไปบนเขา ในทางที่คดโค้ง โค้งไปโค้งมาบนปากเหวหลายโค้ง เสี่ยงต่อการแหกโค้ง ถ้าวางมือ หรือเปลี่ยนคนขับในขณะนั้น ก็เสี่ยงตกเหวลงไป ก็ตายกันหมด .......
เข้าใจอะไรขึ้นไหมครับ ..........
หลักรัฐศาสตร์ก็มาจากความจริงอย่างนี้เองครับ คือตราบที่รถมันวิ่งอยู่ จำเป็นต้องมีคนถือพวงมาลัย มันจำเป็นอย่างยิ่งเลย ฉะนั้น ถึงแม้รัฐบาลจะได้ยุบสภาไปแล้ว ตนพ้นจากอำนาจไปแล้ว แต่ตราบใดที่เรายังไม่ได้คนมาถือพวงมาลัยแทนแล้ว อย่างไร ๆ ก็ต้องถือพวงมาลัยไปก่อน วางไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะเวลาที่เกิดการวิกฤตทางการเมืองเช่นนี้ จะวางพวงมาลัยไม่ได้เด็ดขาด หลักรัฐศาสตร์มันบังคับเอาไว้ด้วยเหตุผลเช่นนี้ ......... แล้วจริง ๆ นิติศาสตร์ก็เอาไปบัญญัติไว้ต่อไป เพียงแต่มีคนที่หาเรื่อง....แล้วไม่ยอมมองย้อนไปที่หลักการของรัฐศาสตร์ ดังกล่าว
ถ้าเรายอมรับเหตุผลตามหลักรัฐศาสตร์ และยอมรับนิติศาสตร์เฉพาะส่วนที่รับใช้ รับเอาหลักรัฐศาสตร์นั้นมากำหนดไว้อย่างสอดคล้องหลักรัฐศาสตร์ มันก็เป็นการชอบธรรมแล้ว นิติศาสตร์ใดที่ไม่สอดคล้องหลักรัฐศาสตร์ เราก็ไม่ต้องพิจารณา ตัดออกไปเลย โดยมีข้อพิจารณาอย่างง่าย ๆ ว่าเป็นนิติศาสตร์ที่ทรยศต่อรัฐศาสต์ ผู้เป็นนายตัวเอง) ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างเป็นธรรม ชอบธรรม และยุติธรรม ใช่ไหม ? และง่าย ...... ใช่ไหม?
ฉะนั้น อย่ามองกฎหมายว่า กฎหมายมีความสำคัญในตัวเอง ต้องมองกฎหมายว่าเป็นเพียงเครื่องมือ ที่รับใช้ อย่างที่ผมว่า นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้ นั่นแหละครับ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างคนรับใช้ มั่วไปหมดเช่นนี้ วิธีแก้ก็ต้องถามไปถึงเจ้านายของพวกเขา
เพราะฉะนั้น ตามหลักคิดนี้ ก็ยุติลงว่า นายกรัฐมนตรี ต้องรักษาการณ์ต่อไป(ซึ่งมีกฎหมายรับรองไว้อยู่แล้ว) จนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มาอย่างถูกต้องตามหลักรัฐศาสตร์การปกครองประชาธิปไตยมาสืบอำนาจแทน จึงจะไป วางมือจากพวงมาลัยได้
ตกลงไหมครับ ?