นามธรรมและประชาชนจะลงโทษองค์กรอิสระ
องค์กรอิสระ ตามรธน.2550 รธน.เถื่อน รธน.โจร ได้กระทำสิ่งที่โลกตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง
และโดยเชื่ออย่างสุจริตว่าตนกระทำไปตามหลักนิติธรรม ในคราวก่อน ๆ ก็มีคราวที่ได้ตัดสินให้
นายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไร้เหตุผล เพราะการที่นายกฯสมัคร
ไปออกรายการชิมไปบ่นไปทางโทรทัศน์ มันเป็นความผิดอย่างไร? มันเป็นโทษภัยแด่ใคร? โดย
ที่รายการนั้นก็เป็นเรื่องโภชนาการ ที่ให้ความรู้ในด้านโภชนาการ การอยู่ดีกินดีของคนทั้งหลาย
ที่สำคัญเมื่อมองไปที่เจนาอันแท้จริงของท่านนายกฯสมัครก็จะเห็นว่าเป็นเจตนาดีล้วน ๆ
ไม่ได้มีเจตนาร้ายอย่างใดเลย แม้มองในเรื่องผลประโยชน์ก็มองไม่เห็นจะเป็นไปได้ เพราะใน
ฐานะนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ทำนุบำรุงสุขแก่ประชาชนทั้งประเทศ ในฐานะที่ท่านเป็นคนที่
เชี่ยวชาญ มีความรู้ดีในเรื่องโภชนาการ ได้คิดว่าพอมีเวลาก็จะได้ให้ความรู้ในเรื่องการกินดีอยู่ดี
และการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ระดับรากหญ้า จะได้เอาไปทำอาหารการกินอย่างง่าย ๆ
ราคาถูก ช่วยฐานะเศรษฐกิจของประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาล เช่นแนวคิดของท่านใน
เรื่องมะนาวแพง เรื่องหมูราคาแพง ท่านก็แนะนำเรื่องต้มซี่โครงหมูใส่มะระ ...ฯลฯ
แล้วท่านมีความผิดอย่างไร ?
ในทัศนะขององค์กรอิสระ การที่ได้มองบทบาทนี้ว่ามีความผิดอันยิ่งใหญ่ จนจำเป็นต้อง
เอาท่านออกไปเสียจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ได้นั้น ...มันเป็นการไม่ถูกต้อง และไม่
เป็นธรรมเลย แล้วท่านได้ตัดสินเอาไทษอย่างหนักสาหัสฉกรรจ์ นั้น เท่ากับการตัดสินให้
คนที่ไม่มีความผิดเลยแม้แต่น้อย ได้รับโทษถึงประหารชีวิตนั้น ..... เป็นการกระทำที่ผู้รัก
ความเป็นธรรมมิอาจจะรับได้....และโดยนามธรรม นี่เป็นการก่อเวรก่อกรรมอันยิ่งใหญ่ไว้แด่
ท่านสมัคร เพราะหลังจากนั้นท่านก็ป่วย มีปัญหาสุขภาพจนต้องเดินทางไปรักษาที่ประเทศ
สหรัฐอเมริกา แล้วยังโดนกลุ่มคนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล(พวกเดียวกับพรรค ประชาธิปัตย์
และองค์กรอิสระเหล่านี้) เข้าห้อมล้อมถือป้ายประจารในต่างประเทศ ให้เป็นที่อับอายไป
ทั่วโลก นี่เป็นการสร้างเวรกรรมอันยิ่งใหญ่ไว้แด่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร ซึ่งยมบาล
แห่งยมโลกจะต้องจารึกจดจารเอาไว้ เพื่อการพิพากษาชดใช้กรรมนี้อย่างสาสมในโลก
แห่งนามธรรม
ยิ่งไปกว่านั้น ในด้านนิติศาสตร์ที่ท่านมีความชำนาญ เป้นสาขาวิชาชีพของพวกท่าน
ที่เอามาใช้เป็นเหตุเป็นผลสำหรับการพิจารณาฐานแห่งความผิด ท่านก็ไม่ได้อ้างกฎหมาย
และไม่มีกฎหมายที่ใช้บังคับในกรณีนี้เลย กล่าวกันว่า คณะผู้ตัดสินได้พลิกกฎหมายฉบับแล้ว
ฉบับเล่า ก็ไม่พบกฎหมาย แม้แต่บทบัญญัติเดียวที่จะเอาโทษแก่นายกรัฐมนตรี ..... แต่คณะ
ผู้ตัดสินนี้ก็ยังตั้งใจมั่นที่จะต้องหาทางลงโทษนายกรัฐมนตรีสมัครอย่างเป็นโทษที่ร้ายแรง
ระดับประหารชีวิตให้ได้ ในที่สุดก็จึงได้อ้างพจนานุกรม ซึ่งไม่ใช่กฎหมายตามความหมาย
ของนิติศาสตร์ อ้างเอาคำว่า ลูกจ้าง มาใช้ตัดสินลงโทษนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้ง
ของประชาชน มาตามระบอบประชาธิปไตย จนได้
นั่นเป็นการกระทำการตัดสินที่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความลำเอียง ตามหลักการแห่งนิติธรรม
และนิติศาสตร์ และไร้เหตุผลโดยสกลศาสตร์ และเป็นการกระทำเกินอำนาจหน้าที่ของตน ....
อันย่อมเป็นความผิด และซึ่งคณะบุคคลคณะนี้ สมควรที่จะได้รับการพิพากษาและลงโทษ และ
ควรจะได้สำนึกในความผิดที่ร้ายแรง แม้เป็นความผิดอันแรก แต่ร้ายแรงพอที่จะต้องหยุด
การปฏิบัติหน้าที่ลงเสีย ด้วยความละอายใจของตนเอง (แบบประเทศที่เจริญทางตะวันตก
ที่เขามีคุณธรรม เมื่อได้กระทำผิดแล้ว ลาออกจากตำแหน่งไปเสียเอง) ...แต่คณะผู้ตัดสิน
คณะเดิมนี้ ยังคงได้โอกาส ใช้ตำแหน่งหน้าที่ที่ตนดำรงอยู่กระทำการอันทุจริตต่อมา โดย
ทำการพิพากษายุบพรรคการเมือง 3 พรรค ลง โดยไร้เหตุผลทั้งทางหลักการนิติศาสตร์
และรัฐศาสตร์ อีกเช่นเคย อันเป็นเหตุให้ นายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งของประเทศไทยคือ
ท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่ง และทั้งลงโทษกรรมการพรรคการเมืองถึง
111 คน ให้ถูกตัดขาดจากการเมืองเป็นเวลา 5 ปีต่อมา ราวกับมีเจตนาลิดรอนพรรค
การเมืองคู่แข่งของตนให้ปราศจากพลังความสามารถที่จะสู้กับพรรคของตนคือประชาธิปัตย์
นี่คือความอยุติธรรม อีกหนหนึ่งของคณะบุคคลคณะเดียวกันนี้
ต่อมา ไวไวนี้เอง คือเมื่อวันก่อนและวันวานนี้เอง คณะองค์กรอิสระ บุคคลคณะเดิม ๆนี้ ได้
ทำการตัดสินและลงโทษระดับประหารชีวิตนายกรัฐมนตรี ให้พ้นจากตำแหน่งไปอีกคนหนึ่ง คือ
นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร....โดยไร้เหตุผล และโดยกระทำการเกินอำนาจหน้าที่ของตน
ในฐานะฝ่ายตุลาการ ที่เข้าไปก้าวก่ายอำนาจฝ่ายบริหาร
มาถึงเวลานี้ จึงได้มีปรากฎการณ์ของประชาชนตื่นตัวขึ้นมาเพราะความอยุติธรรมที่ประชาชน
ได้รับ ...ได้เคยมีสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ มี วันที่ 1 เมษายน2557 วันแจ้งความแห่งชาติ
ที่ประชาชนทั่วประเทศแห่ไปแจ้งความเอาผิด ตลกทั้ง 9 ศาลรธน. เจ้าเก่าที่ตัดสินให้
การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 เป็นโมฆะ นั่นหมายถึงการที่ประชาชนเริ่มการต่อสู้อย่างเข้มข้นที่
จะชำระสะสางประเทศให้เกิดความเป็นธรรม จากองค์กรอิสระ ที่ลุแก่อำนาจ ที่ไร้เหตุผล
ไร้มาตรฐาน ไม่เคารพกฎหมาย สร้างกฎหมายเอาเองตามอำเภอใจ และรับใช้อำมาตย์ระบอบ
เก่าก่อน จึงกระทำการย่ำยีคนของประชาชนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อย่างไร้ฐานะ การเกิด
ปรากฎการณ์วันแจ้งความแห่งชาติ น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้องค์กรอิสระได้สำนึกตัว ละอายใจ
ตัวเอง อย่างที่ประเทศที่เจริญ ด้วยจิตใจที่สูงส่งเขาปฏิบัติ เช่นในญี่ปุ่น ที่ นรม.ลาออกเป็นปกติ
โดยสมัครใจตนเองคนแล้วคนเล่า หรืออเมริกา อังกฤษ ก็มีตัวอย่างที่ดี ๆ พอเอาเป็นบรรทัดฐาน
แต่องค์กรอิสระไทย ได้กระทำความผิดซ้ำซาก และหน้าด้านไร้ความอาย และยังคับแคบ
เหมือนกบในกะลา ไก่ในสุ่ม เพราะแกไม่เคยฟังเสียงประเทศต่าง ๆ ในโลกที่เตือนมา
ให้ระวังการเมืองในประเทศไทยต้องเป็นไปในวิถีทางประชาธิปไตย ไม่เคยรู้เรื่องการเมือง
อาเซียนว่าไทยจะต้องไปมีส่วนกับองค์กรอาเซียนอย่างไร และต้องเตรียมตัวอย่างไร อย่างกรณี
ล่าสุดนี้ทั้งนายบัน ซี มูน ลธ.ยูโน และเสียงจากบารัค โอบามา ปธน.สรอ. ก็เตือนประเทศไทย
ให้หาทางออกโดยวิถีทางประชาธิปไตย โดยให้จัดการเลือกตั้งโดยเร็ว และองค์กรเหล่านี้ไม่ทราบ
ด้วยซ้ำว่าตนมีสิทธิ์ที่จะเดินทางไปต่างประเทศอย่างมีเกียรติศักดิ์ศรีสมเป็นองค์กรสูงสุดของ
ประเทศอย่างไร?
บัดนี้จึงได้รับการตอบแทน ด้วยการปลุกประชาชนที่คั่งแค้นขึ้นทั่วแผ่นดิน จะปฏิบัติการกวาดล้าง
องค์กรเถื่อน รัฐธรรมนูญเถื่อนไปเสีย สร้างรากฐานประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ขึ้นมาเท่านั้น จึงจะ
สร้างระบบและระบอบที่เป็นธรรมขึ้นมาได้
แต่แม้จะเกิดปรากฎการณ์ของแผ่นดินที่ต่อต้านเตือนกันขนาดนี้แล้ว องค์กรเถื่อนเหล่านี้ก็ดูจะ
ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร กับการกระทำผิดของตน โดยคิดแบบหลงอำนาจไปสุด ๆ ว่า ใครจะอาจ
ลงโทษพวกเขาได้
นั่นแหละ !! ถึงโดยรูปธรรม ประชาชนอาจจะลงโทษพวกเขาไม่ได้ขณะนี้ แต่วันหน้ายังมี ต้องเอา
มาชำระให้ได้ แต่โดยนามธรรม นั้นยากจะหลีกหนี
พุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ใน นิพเพธิกสูตร ฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย ไว้ว่า
<<< เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ เจตยิตฺวา กมฺมํ กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา >>> แปลว่า
<<< ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนานั่นแหละเป็นกรรม เมื่อมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมกระทำกรรม
โดยทางกาย วาจา ใจ >>>
ในภาคนามธรรมตามหลักพุทธศาสนา คือ องค์รวมของ เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ
องค์กรอิสระเหล่านี้ มี ศาลรธน. และ ปปช. เป็นต้น ย่อมรู้ดีแก่ใจตนเอง ว่าตนไม่มีความสุจริต
และทุจริตต่อวิชาชีพของตนอย่างร้ายแรง ได้กระทำกรรมบาปโดยให้โทษให้ทุกข์แก่คนอื่น
.... ในนามนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สส.และสว. ท่านมีความหมายรวมถึงประชาชนนับล้าน ๆ คนด้วย
เพราะนายกรัฐมนตรีและคนสำคัญเหล่านี้ในระบอบประชาธิปไตย หมายถึงการเชื่อมโยงไปถึง
เจ้าของประชาชนเสมอ องค์กรเหล่านี้ได้ทำโทษทุกข์แก่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สส.และสว.
ที่มาจากประชาชนนับล้าน ทั้ง ๆ ที่โดยสถานะของตนเป็นเพียงองค์กรเถื่อน ที่นั่งบนบัลลังก์
การพิพากษาในนามองค์พระมหากษัตริย์ แต่มิได้มีพระบรมราชโองการ...จึงมีความผิดในด้าน
จริยธรรมไปอีกสถานหนึ่งอันฉกรรจ์ต่างหาก อนึ่งบุคคลเหล่านี้ คือ นรม.ก็ดี สส.ก็ดี สว.เลือกตั้งก็ดี
พรรคการเมืองก็ดี โดยหลักการประชาธิปไตยแล้ว ไม่อาจจะมีผู้ใดหรือองค์กรใดลงโทษให้ออก
ปลดออก ไล่ออกได้ นอกจากประชาชนเท่านั้น ซึ่งนี้เป็นหลักการสำคัญที่แม้คนผู้อยู่ในหน้าที่
ตำแหน่งสูงในระบบไทยยังไม่เข้าใจอยู่
และความผิดขององค์กรเหล่านี้ จะต้องได้รับการลงโทษทางนามธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย
เพราะเจตนาของตน ๆ ย่อมรู้ดี สมพุทธวจนะ ข้างต้นที่ว่า...เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ
....ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนานั่นแหละเป็นกรรม....จะปฏิเสธตนเองไม่ได้ ฉะนั้น ทำกรรม
อันใดไว้ ย่อมได้รับผลกรรมทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ต้องตามหลักศาสนาพุทธ คริสต์
และอิสลาม ทุกประการ
ทางพุทธ โดยวัดวาอารามสวดกันเป็นประจำโดยภาษาตลาด ๆ ง่าย ๆ ทั้งญาติโยมและ
ภิกษุสงฆ์สามเณรทุกวันธรรมสวนะ เตือนคนทั้งหลายว่า
กัมมัสะโกมหิ เรามีกรรมเป็นของตัว
กัมมะทายาโท มีกรรมเป็นผู้นำมามอบให้
กัมมะโยนิ มีกรรมเป็นผู้นำมาเกิด
กัมมะพันธุ มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์และพวกพ้อง
กัมมะปะฏิสะระโณ มีกรรมเป็นเครื่องยุยงเป็นเครื่องระลึก
ยัง กัมมัง กะริสสามิ เราจักทำกรรมอันใดไว้
กัลยาณัง วา ดีก็ตาม
ปาปะกัง วา ชั่วก็ตาม
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์
9 พ.ค.2557 08:45:50