กระทู้ 1 :
เพื่อ ประชาธิปไตย เท่านั้น
ภาพที่ 1
มาคุยกันเรื่องการเมือง ที่ต้องเป็นประชาธิปไตยในเชิงศาสตร์ ศิลป์ และวิชาการ เพื่อไทยเริ่มเจริญมั่นคงในระบอบการปกครองประชาธิปไตยนับตั้งแต่บัดนี้ไปตลอดกาล ดั่งเป็นศาสนาใหม่ ศาสนาประชาธิปไตย แน่นอนเมื่อมีเป้าหมายเช่นนี้ ต้องมีการเลือกตั้ง ต้องมีพรรคการเมือง ต้องมีนักการเมือง ที่มีนโยบาย และต้องมีผู้นำสังคม ผู้นำการศึกษา สถาบันการศึกษา ต้องมีผู้นำฝ่ายศาสนา สถาบันศาสนา และมวลมหาประชาชนทั้งชาติที่เข้าใจประชาธิปไตย ที่เมื่อพูดออกมาแล้วถูกต้องตามหลักการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เรามาคุยกันตรงไปตรงมาว่าสังคมเราอ่อนด้อยในความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยอย่างไร ขนาดไหน ? คุยอย่างเป็นเรื่องวิชาการ ศาสตร์การเมืองสากล หลักการการเมืองสากลอย่างแท้จริง !!
- ผู้ตั้งกระทู้ สุไหงปาดี ชินะกุล
วันที่ 22 พ.ค.2558, 01.26 น.
ความเห็นที่ 1
กระทู้นี้ ตั้งโดยสุไหงปาดี ชินะกุล ผู้วิจารณ์การเมืองมาอย่างเข้มข้น และชี้แนวทางประชาธิปไตยมาโดยตลอด ในเวบไซต์ 2 เวบไซต์นี้ คือ newworldbelieve.com และ newworldbelieve.net ซึ่งชื่อของเวบไซต์ newworldbelieve มีคำแปล อย่างไรก็ตาม แต่มีคำหนึ่งคือคำว่า ศาสนาใหม่ของโลก เป็นอีกหนึ่งความหมายของชื่อเวบไซต์นี้ด้วย น่าคิดว่า คำที่ปล่อยออกมาว่า ศาสนาใหม่ ศาสนาประชาธิปไตย นี้ละกระมังศาสนาใหม่ของโลก แปลว่า บัดนี้ ได้มีการประกาศศาสนาใหม่ขึ้นหรืออย่างไร ? ศาสนาที่ชื่อว่า ศาสนาประชาธิปไตย
เอาละ จะอย่างไรก็ตาม สุไหงปาดี ชินะกุล และทีมงานของเขาคงจะต้องอธิบาย ศาสนาประชาธิปไตย นี้เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ .... และที่น่าคิดก็คือ ทำไม ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบการเมืองหนึ่ง เป็นเรื่องการเมือง แต่เขาจะให้เป็นเรื่องศาสนา จะต้องอธิบายให้เข้าใจให้ชัดเจนว่า ประชาธิปไตยจะเป็นการเมืองในระบอบศาสนาได้อย่างไร อะไรคือ การเมือง ? และอะไรคือศาสนา ?
เอาละ คงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งพอสมควร เอาเรื่องที่ตื้น ๆ มาพูดกันก่อนก็ได้ ...ที่ว่า สังคมเราอ่อนด้อยในความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยอย่างไร ขนาดไหน ? และในความคิดของสุไหงปาดี ที่มองไปว่า มีความอ่อนด้อยในความเข้าใจประชาธิปไตยไปหมดทุกสถาบันในประเทศไทยเรานี้ ....นี่น่าเป็นปัญหาจริง ๆ จากการได้พบได้เห็นมาในช่วงเวลาก่อนทหารทำรัฐประหาร และแน่นอน หากผู้นำสังคม ผู้นำการศึกษา สถาบันการศึกษา ผู้นำฝ่ายศาสนา สถาบันศาสนา และมวลมหาประชาชนทั้งชาติ ไม่เข้าใจประชาธิปไตยแล้ว ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้น ตั้งมั่นไปในอนาคตได้อย่างไร
เราจึงควรมามองดูให้ชัดกันจริง ๆ ว่า ทหาร พลเรือน แม้สถาบันการศึกษาเอง สังคมเรา ทุกสถาบัน อ่อนด้อยในความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยอย่างไร ขนาดไหน ? คุยอย่างเป็นเรื่องวิชาการ ศาสตร์การเมืองสากล หลักการการเมืองสากลอย่างแท้จริง !!
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายเบญจะ ณ นคร
23 พ.ค.2558 20.44 น.
ความเห็นที่ 2
ดูภาพข้างล่างที่เอามาวางคู่กันนี้ก่อนนะครับ ซ้ายมือก็คือภาพที่ 1 ข้างต้นนั้นเอง ส่วนภาพที่วางถัดไป ก็ลองดูเอาเองก่อนนะครับ เราจะถามว่า ท่านอ่านภาพทั้ง 2 ภาพนี้ตรงกับที่เราอ่านหรือไม่?
ภาพที่ 2 ภาพที่ 3
- ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆิน
24 พ.ค. 2558 22.01 น.
ความเห็นที่ 3
เราจะหาภาพมาให้ดูอีกชุดหนึ่งนะครับ โปรดรออีกสักหน่อย ภาพที่จะเอามาดูนี้เป็นภาพหายากหน่อย ต้องค้นดูจากสื่อและเวบไซต์ต่างประเทศ...อย่างไรก็ตาม คงจะพอเข้าใจนะครับว่า ประชาธิปไตย นั้น ต้องมีการเลือกตั้ง ต้องมีพรรคการเมือง ต้องมีนโยบายหลักของพรรคการเมืองและพรรคการเมืองต้องนำไปบอกประชาชนได้ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนพอใจ และนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งครับ
- ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
25 พ.ค. 2558 20.01 น.
ความเห็นที่ 4
ก่อนจะได้ดูภาพชุดต่อไปของ ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ ผมจะมาอธิบายความเห็นของผมต่อภาพที่1-2-3 ก่อนนะครับ
ภาพที่1-2 ดูภาพ ดร.ปรีดี พนมยงค์ นะครับ นี่แหละสาวกที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย เป็นสาวกเพราะรู้แจ้งเห็นจริงในระบอบประชาธิปไตย พอ ๆ กับชาวอังกฤษ อเมริกาและยุโรปที่นับถือศาสนาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ท่านปรีดี และคณะทหารที่ปฏิวัติ 24 มิ.ย.2475 เชื่ออย่างแท้จริงว่า ประชาธิปไตยเท่านั้นจะแก้ไขปัญหาประเทศไทยและปัญหาของโลกยุคใหม่ได้........เราต้องการให้ได้ข้อคิดว่า ในภาพที่ 1-2 นั้น มีคนที่ทรยศ หรือ ไม่ใช่สาวกที่แท้จริงรวมอยู่ด้วย เป็นคนที่ไม่เข้าใจ ไม่เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตย นั่นคือปัญหาของประชาธิปไตยไทยมาจนถึงทุกวันนี้ครับ.......ปัญหาสาวกผู้ทรยศ
และประเทศเราก็ได้ล้าหลังไปเรื่อย เหมือนพม่า ลาว จีน ปัจจุบันนี้[ลาว พม่า จีน สิ้นระบบกษัตริย์ไปนานแล้ว แต่อำนาจไม่ได้ตกสู่ประชาชน มีคณะบุคคลคณะหนึ่งปกครองครองอำนาจไป เสวยผลประโยชน์อย่างอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ อย่างไม่รู้ว่าจะนานเท่าไร....นั่นคือเผด็จการแท้]
ดูภาพที่ 3 นะครับ ลอกมาลงอีกทีเป็นภาพที่ 4 ในเรื่องนี้
ภาพที่ 4
ฝรั่งเรียกภาพนี้ว่า Last Supper เป็นภาพพระเยซูคริสต์บนโต๊ะอาหารมื้อสุดท้ายก่อนถูกทหารของโรม ที่ปกครองเยรูซาเล็ม จับกุมไปพิพากษาตรึงกางเขนสิ้นพระชนม์ชีพ ในพระคัมภีร์ไบเบิลไม่มีตอนไหนที่ยืนยันจำนวนพระสาวกร่วมในการเสวยอาหารโต๊ะสุดท้ายนี้ แต่เขานับได้จำนวน 13 คน เขายืนยันว่า 13 คน ...[แต่มีหนังศาสนาคริสต์เรื่องหนึ่งยืนยันว่ามีถึง 14 คน ๆ ที่ 14 เป็นสตรี...เป็นภริยาของพระเยซู ปรากฏในภาพเขียนสำคัญในโบสถ์] ใน 13 ชื่อมีชื่อ จูดาส ...Judas ด้วย เลข 13 จึงเป็นเลขอัปมงคลของชาวคริสต์มาตั้งแต่นั้น
แต่ประเด็นเกี่ยวกับภาพนี้ก็คือ บาทหลวงยุคใหม่ นักวิชาการศาสนายุคใหม่ เมื่อถามถึงสาวกใน The Last Supper นี้ เขาจะยืนยันว่ามีสาวก [Disciple] เพียง 12 คนเท่านั้น เขาไม่นับ ยูดาส โดยเหตุผลที่ว่า คำว่าสาวกนั้น ต้องมีความหมาย และหมายถึง ความหมายอย่างไร และแน่นอน ยูดาส อิสคาริออต สาวกผู้ทรยศนั้นก็ได้เป็นผู้ที่ติดตามพระเยซูมาร่วมกับสาวกคนอื่นๆ แต่ในที่สุดทรยศ โดยได้เป็นผู้รับสินบนนำจับพระเยซูจากพวกทหารและปุโรหิตเยรูซาเล็ม ถึง 30 เหรียญ [ซึ่งในพระคัมภีร์ระบุว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว] จึงไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็น สาวก[Disciple] และก่อนที่จะจับพระเยซูนั้นยูดาสได้บอกทหารไว้ก่อนว่า <<< Whom I kiss. He is the man. Seize Him >>> [Matthew 26/48] [เราจะจูบคำนับผู้ใดก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาไว้] แล้วยูดาสก็พาทหารไปที่มี Last Supper กันอยู่ ตามภาพที่ 3-4 นั้นแหละครับ ซึ่งพระคัมภีร์เล่าต่อไปว่า <<< At once he went up to Jesus and said. “Greetings. Rabbi.” And kissed Him >>>[Matthew 26/49] [ขณะนั้นยูดาสตรงมาหาพระเยซู ทูลว่า.....“สวัสดีพระอาจารย์” แล้วจูบคำนับพระองค์] ทหารก็รู้ว่าใครเป็นใคร ก็เข้าจับกุมพระเยซูไป จนที่สุดลงโทษพระองค์ให้ตรึงไม้กางเขนสิ้นพระชนม์
ประชาธิปไตย ต้องมีลักษณะอย่างศาสนาครับ ดังที่ปรากฏในอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป เยอรมัน และญี่ปุ่น และสังคมประชาธิปไตยทั่วโลก ประชาชนคือสาวก คำว่าสาวกภาษาไทยแปลว่า ศิษย์ของศาสดา แต่ประชาธิปไตย ไม่มีศาสดา เป็นการสะสมสัจธรรมทางการเมืองมายาวนานจนกลายเป็นหลักการ หลักวิชา ประชาธิปไตยขึ้น ..... ที่จริงเราก็รู้กันโดยเฉพาะนักรัฐศาสตร์ก็เรียกกันอยู่แล้วว่า ลัทธิการเมือง...... ก็ ศาสนาการเมือง นั่นเอง
ศาสนาประชาธิปไตย ต้องมีสาวกประชาธิปไตย เช่นนายบารัค โอบามา แห่งอเมริกา และชาวอเมริกัน ชาวยุโรป เป็นต้น ประเทศจึงเจริญไปนำหน้าทุก ๆ ประเทศขณะนี้ และประชาธิปไตยนำไปสู่ อารยธรรม ที่สูงส่งกว่า นั่นหมายถึง ภาวะแห่ง ชัยชนะ ในทุกรูปการณ์
สาวกผู้ทรยศอย่าง ยุดาส เกิดเล็งเห็นความผิดตนเองว่าได้ทรยศต่อพระศาสดา จึง เอาเงิน30เหรียญไปคืนปุโรหิตแต่ปุโรหิตไม่รับคืน พระคัมภีร์จารึกต่อไปว่า <<<He then flung down the silver pieces in the temple, withdrew and going off, hanged himself>>> [Mathew 27/5] [ยูดาสจึงทิ้งเงินนั้นไว้ในพระวิหารและจากไป แล้วเขาก็ออกไปผูกคอตาย]
สาวกผู้ทรยศต่อระบอบประชาธิปไตย ก็จะต้องรับผลบาปกรรมเช่นนี้แหละครับ
นี่เป็นการมองภาพ 1-2-3 ของผม ครับ
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายวิจัยประชาธิปไตย
27 พ.ค.2558 09.13 น.
ความเห็นที่ 5
เอาละครับ เอาภาพอีกชุดหนึ่งมาลงให้ท่านดู ดูได้เลยครับ ดูแล้วคิดว่าอย่างไรครับ ?
1
35 36 37 38
39 40 41 42
43 44
1 George Washington 2332
35 John F. Kennedy 2504
36 Lyndon B. Johnson 2506
37 Richard Nixon 2512
38 Gerald Ford 2517
39 Jimmy Carter 2520
40 Ronald Reagan 2524
41 George H.W.Bush 2532
42 Bill Clinton 2536
43 George W. Bush 2544
44 Barack Obama 2552
- ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
วันที่ 27 พฤษภาคม 2558 19.56 น.
ความเห็นที่ 6
ผมมีความเห็นว่า ตั้งแต่ คนที่ 1 คือ George Washington ซึ่งได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกา ในปี พุทธศักราช 2332 มาจนถึงคนปัจจุบัน Barack Obama ซึ่งได้เป็นประธานาธิบดี คนที่ 44 ในปีพ.ศ.2552 พูดถึงจำนวนคนก็ 44 คน พูดถึงปีก็ 226 ปี ซึ่งนานมาก ก็ กว่า 2 ศตวรรษแหละครับ แต่ในระหว่างคนที่ 1 ถึงคนที่ 44 ปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นเวลาต่อเนื่องกันถึงกว่า 2 ศตวรรษ หรือระหว่าง 226 ปีที่เป็นประชาธิปไตยมานี้ การปกครองของเขา ไม่เคยมีพวกทหาร หรือ กองทัพ มายุ่งเกี่ยวเลย
ผมอยากจะถามว่า กองทัพอมเริกา คงไม่เก่งเท่ากองทัพไทยละมั้ง ?
แต่ไม่ใช่หรอกครับ และที่สำคัญก็คือ ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งนี้ เขาสามารถสั่งกองทัพได้ทุกอย่างและกองทัพสหรัฐก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของประธานาธิบดีของเขา ...... ก็ดู สั่งให้ไปรบในสงครามอินเดีย ก็ไป สั่งให้ไปเวียดนาม ก็ไป สั่งไปอาฟกานิสถาน ก็ไป สั่งไปอิรัค อิหร่าน สั่งให้ไปล่าบิน ลาเดน หรือ ทหารก็ไม่เคยขัดขืน และไม่เคยปรากฎว่าทหารขัดคำสั่ง ก็เพราะทหารสหรัฐเข้าใจหลักศาสนาประชาธิปไตยดีนี่แหละครับ แต่หลักการบังคับบัญชา Chain of Command ทหารทุกชาติก็รู้ดีอยู่แล้วนี่นะ
และก็ดูทหารคนนี้ครับ เป็นผู้บัญชาการทหารสหรัฐและนาโต ในอาฟกานิสถาน ดูภาพเขาก่อน นี่คือภาพของเขา พลเอก สแตนลีย์ แมคคริสตัล ผู้บัญชาการทหารสหรัฐและนาโตในอาฟกานิสถาน
เขาถูกประธานาธิบดีโอบามา ปลดออกจากตำแหน่งนี้ วันที่ 23 มิถุนายน 2553 เนื่องจากนายพลคนนี้ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารโรลลิงสโตน ออกท่าทีลบหลู่ดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนที่รัฐบาลส่งไปร่วมปฏิบัติงานในอาฟกานิสถาน ว่าไม่เข้าใจอะไร ๆ อย่างนั้นอย่างนี บารัค โอบามา มองว่า การสัมภาษณ์ดังกล่าวทำลายการบังคับบัญชาของกองทัพ และหลักการระบอบประชาธิปไตย จึงปลดออกทันที
แล้ว บารัค โอบามา ชนะใจประชาชนอเมริกา ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี วาระที่ 2 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 7 พ.ย. 2555 โดยชนะนาย มิตต์ รอมนี คู่แข่ง ท่วมท้น
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายธำรงค์ สนธิประชา
28 พ.ค. 2558 10.08 น.
ความเห็นที่ 7
ก็มาลองอ่านข่าวดูนะครับ ข่าว เดลินิวส์ อ่านแล้วคิดอะไร อย่างไร ? ก็บอกบ้าง นะครับ.
ทหารสหรัฐในอัฟกาฯ ได้รับอนุญาตถล่มตาลีบันอีกครั้ง
กองทัพสหรัฐในอัฟกานิสถาน ได้รับไฟเขียวให้ถล่มนักรบตาลีบันได้อีกจากปีหน้าเป็นต้นไป เป็นการขยายบทบาททางทหารอีกครั้งหลังหยุดสู้รบไป
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงคาบูลประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อวันที่23พ.ย.ว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐแถลงว่า ทหารสหรัฐในอัฟกานิสถานจะได้รับอนุญาตให้โจมตีเป้าหมายนักรบตาลีบันในอัฟกานิสถานได้จากปี2558ซึ่งเป็นการขยายบทบาทของพวกเขาหลังยุติการปฏิบัติการสู้รบครั้งใหญ่โดยแผนการดังกล่าวซึ่งผ่านความเห็นชอบจากประธานาธิบดีบารัคโอบามา ผู้นำสหรัฐแล้วจะให้การสนับสนุนทางอากาศต่อกองทัพอัฟกานิสถานด้วยทั้งนี้ กองทัพสหรัฐในอัฟกานิสถานถูกลดกำลังลงเหลือ9,800นายภายในปี2557
แผนการก่อนหน้านี้ได้จำกัดบทบาททหารสหรัฐเพียงแค่ฝึกทหารอัฟกานิสถานและจัดการกับอัลกออิดะห์ที่เหลืออยู่ขณะนี้ กองทัพได้รับอนุญาตให้ต่อสู้กับตาลีบันหากกลุ่มหัวรุนแรงกลุ่มนี้มีภัยคุกคามโดยตรงกับสหรัฐและกองกำลังพันธมิตรหรือให้การสนับสนุนโดยตรงต่ออัลกออิดะห์
เอพีและนิวยอร์กไทม์ส รายงานว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการตัดสินใจอย่างเงียบๆ ของประธานาธิบดีโอบามาในช่วงหลายสัปดาห์มานี้
ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมารัฐบาลใหม่อัฟกานิสถานซึ่งนำโดยประธานาธิบดีอัชราฟกานี ได้ลงนามในข้อตกลงความมั่นคงฉบับหนึ่งอนุญาตให้ทหารสหรัฐยังประจำการอยู่ในประเทศเกินปี2557ได้ นอกจากนี้ภายใต้ข้อตกลงอีกฉบับหนึ่งที่แยกกันต่างหากทหารของสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต ซึ่งรวมทั้งเยอรมนี,ตุรกี,อิตาลีจะยังคงให้ความช่วยเหลือด้านการฝึกและด้านอื่นๆ ต่อกองกำลังรักษาความมั่นคงของอัฟกานิสถานต่อไป
สหรัฐมีกำหนดลดกำลังทหารของตนลงครึ่งหนึ่งอีกครั้งภายในสิ้นปี2558
- ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
28 พฤษภาคม 2558 13.00 น.
ความเห็นที่ 8
คราวนี้ดูเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประวัติศาสตร์จะจารึกถึงความยิ่งใหญ่ มีความเป็นทหารที่เด่น สมบูรณ์ของ ทหารสหรัฐเอมริกา แต่ภาพที่เอามาให้ดูนี้ เป็นภาพนี้ครับ
ชื่อว่า Nagasakibomb
A new and most cruel bomb
มีเรื่องราวอย่างนี้ครับ ผมก๊อปปี้เมาด้วยความขอบคุณจากวิกิพีเดีย ก็ขอให้ช่วยกันมองอีกทีหนึ่ง มองอย่างลึก ๆ หน่อยนะครับ มีหลายประเด็นเลยทีเดียว ดังนี้ครับ
<<< วันที่ 11 กรกฎาคม บรรดาผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรประชุมที่พอทสดัม ประเทศเยอรมนี ได้ข้อสรุปว่า ที่ประชุมให้การรับรองเกี่ยวกับข้อตกลงต่าง ๆ กับเยอรมนีก่อนหน้านี้[260] และย้ำถึงความจำเป็นของญี่ปุ่นที่จะต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวที่ว่า "อีกทางเลือกหนึ่งของญี่ปุ่นก็คือหายนะเหลือแสน" ("the alternative for Japan is prompt and utter destruction") [261] ภายหลังจากการประชุมนี้ สหราชอาณาจักรได้มีการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1945 และคลีเมนต์ แอตลีย์ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรแทน วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีคนเดิม
[262]
เมื่อญี่ปุ่นได้ปฏิเสธข้อเสนอที่พอทสดัม สหรัฐอเมริกาจึงตัดสินใจทิ้งระเบิดปรมาณูสองลูกบนแผ่นดินญี่ปุ่นที่ฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ต้นเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 ระหว่างการทิ้งระเบิดปรมาณูทั้งสองลูก สหภาพโซเวียตก็ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และโจมตีแมนจูเรียของญี่ปุ่น ตามข้อตกลงยัลตา ญี่ปุ่นได้ตัดสินใจยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 หลังจากนั้นในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นได้ลงนามในตราสารยอมจำนนอย่างเป็นทางการ และเป็นจุดจบของสงครามด้วยเช่นกัน
[254] >>>
และอีกภาพเป็นของแถมครับ ลองคิดดูด้วยครับ
ภาพกองกำลังกู้ชาติเวียดนาม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้สตรีก็ไปร่วมรบ ร่วมเป็นร่วมตายกันเพื่อกู้เอกราชแด่ชาติตน
- ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
28 พฤษภาคม 2558 19.39 น.
ความเห็นที่ 9
ระเบิดลูกแรกลงวันที่ 6 สิงหาคม 1945 [พ.ศ.2488] โดย บี. 29 บินไปเหนือเมือง ฮิโรชิมา ทิ้งปรมาณู ลูกแรกของโลก ลงไป ทำลายเมืองไปถึง 90 % คนญี่ปุ่นตายในทันทีถึง 80,000 คน
วันที่ 9 สิงหาคม 3 วันต่อมา บี-29 ทิ้งลงไปอีกลูกหนึ่งเหนือเมือง นางาซากิ ตายโดยประมาณ 40,000 คนทันที
แล้วทั้งสองเมืองนี้ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งรอความตายจากรังสีปรมาณูภายหลัง ....... ดูอ้างอิงข้างล่างครับ
<<< On August 6, 1945, during World War II (1939-1945), an American B-29 bomber dropped the world's first deployed atomic bomb over the Japanese city of Hiroshima. The explosion wiped out 90 percent of the city and immediately killed 80,000 people; tens of thousands more would later die of radiation exposure. Three days later, a second B-29 dropped another A-bomb on Nagasaki killing an estimated 40,000 people. Japan's Emperor Hirohito announced his country's unconditional surrender in World War II in a radio address on August 15, citing the devastating power of "a new and most cruel bomb." >>>
- ผู้แสดงความคิดเห็น ธำรงค์ สนธิประชา
29 พ.ค. 2558 19.36 น.
ความเห็นที่ 10
ดูอีก 4 ภาพนะครับ ที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ.2482 - 2488)
31 32 33 34
31 Herbert Hoover 2472
32 Frankin D. Roosevelt 2476
33 Harry S. Truman 2488
34 Dwight D. Eisenhower 2496
35 John F. Kennedy 2504
Truman ประธานาธิบดี คนที่ 33 แห่งสหรัฐอเมริกาที่มาโดยการเลือกตั้งของอเมริกันทั้งประเทศ คนที่บัญชาการยุทธศาสตร์และกองทัพอเมริกันได้อย่างเด็ดขาด จนชนะสงครามโลกครั้งที่ 2
ทำไมทหารอเมริกันจึงเชื่อฟัง ยอมรับคำสั่งประธานาธิบดีของเขา ?
- ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
29 พ.ค.2558 20.23 น.
ความเห็นที่ 11
ผมสนใจความเห็นที่ 7 ครับที่ว่า <<< เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐแถลงว่า ทหารสหรัฐในอัฟกานิสถานจะได้รับอนุญาตให้โจมตีเป้าหมายนักรบตาลีบันในอัฟกานิสถานได้จากปี2558 >>> ผมจำตาลีบันได้ดีมากครับ จากเหตุการณ์ปี 2544 พวกนี้เป็นรัฐบาลอาฟกานิสถานขณะนั้นและเขาทำอะไรที่สะเทือนใจชาวพุทธ์ทั่วโลกครับ
อธิบายโดยภาพก็ได้ครับ ดูภาพนี้ก่อนครับ
พบในสารคดีของนักท่องเที่ยวไทยเรา ที่ไปเที่ยวเมืองจีน มีคำบรรยายใต้ภาพว่า
<<<พระพุทธรูปองค์นี้ใช้เวลาสร้าง 90 ปีในสมัยราชวงศ์ถัง หลังจากกลุ่มตาลีบันทำลายพระพุทธรูปองค์ใหญ่ในอาฟกานิสถานเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันองค์พระใหญ่ Le Shan ซึ่งมีความสูง 71 เมตร จึงได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สร้างอยู่บนหน้าผาริมแม่น้ำและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก>>>
และนี่แหละพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ในผาบามิยัน เมืองบามิยัน ประเทศอาฟกานิสถาน (ดูคนยืนที่ฐานเปรียบเทียบนะครับ) ที่ถูกรัฐบาลตาลีบันระเบิดทิ้งในเดือนมีนาคม 2544 คนไทยคงจะจำได้นะครับ(มีคนพูดว่า คนไทยมักจะลืมอะไรง่าย ๆ เสมอ แต่ผมลืมเรื่องนี้ได้ยากมาก และเมื่อมีข่าว <<< เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐแถลงว่า ทหารสหรัฐในอัฟกานิสถานจะได้รับอนุญาตให้โจมตีเป้าหมายนักรบตาลีบันในอัฟกานิสถานได้จากปี2558 >>> ผมก็ยิ่งพอใจมาก ครับ และชอบรัฐบาลสหรัฐมากทีเดียว
- ผู้แสดงความคิดเห็น กงจักร เสมาคำ
วันที่ 30 พ.ค.2558 20.20 น.
ความเห็นที่ 12
ยังต่อเนื่องอยู่กับ World War II อยู่ครับ โปรดดูภาพชุดต่อไปนะครับ
คำถามคือ ใครครับ?
- ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
วันที่ 1 มิ.ย. 2558 23.25 น.
ความคิดเห็นที่ 12
ผมเสนอภาพต่อมาอีก 1 ภาพครับ มีคำบรรยายใต้ภาพที่ตรงประเด็นดี ดูนะครับ
ฮิตเลอร์ แต่งงานกับกับ อีวาบราวน์
<<< สำหรับ อีวา บราวน์ (Eva Braun) เธอควบตำแหน่งนางบำเรอ นกน้อยในกรงทอง ภรรยาและคู่ทุกข์คู่ยากเพียงหนึ่งเดียวของฮิตเลอร์ไว้ครบถ้วนอีวายอมทิ้งชีวิตอิสระในโลกกว้างมาเป็นนางบำเรอในเซฟเฮ้าส์ของฮิตเลอร์ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี เพราะรักผู้ชายคนนี้สุดหัวใจ แต่ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ของเธอไม่ได้ราบรื่นนักอีวาพยายามฆ่าตัวตายถึงสองครั้ง เนื่องจากจนความเจ้าชู้ของฮิตเลอร์ไม่ไหวครั้งแรกเธอยิงตัวเอง ส่วนครั้งที่สองเธอกินยานอนหลับเข้าไปถึง 35 เม็ดโชคดีว่าทหารคนสนิทของฮิตเลอร์เข้ามาช่วยไว้ได้อีวาจึงรอดชีวิตไปจนถึงวันที่ฮิตเลอร์หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างและต้องหลบหนีไปอยู่ในที่มั่นแห่งสุดท้ายรอเวลาที่กองทัพศัตรูจะเข้ามาประหัตประหาร
ฮิตเลอร์พยายามอ้อนวอนให้อีวาหนีไปแต่เธอเลือกที่จะตายเคียงข้างเขาฮิตเลอร์จึงตัดสินใจที่จะตอบแทนสาวความภักดีของสาวคนรักเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการแต่งงานกับเธอพิธีแต่งงานที่อีวารอคอยมาชั่วชีวิต มีเพียงบาทหลวงแก่ๆกับทหารคนสนิทของสามีร่วมเป็นสักขีพยาน แต่แค่นี้เธอก็พอใจแล้วหลังจากแต่งงานได้เพียงวันเดียวจุดจบของฮิตเลอร์กับผู้หญิงที่สละชีวิตเพื่อเขาก็มาถึง ทั้งสองกรอกยาพิษเข้าปากจากนั้นก็นั่งพิงกันเงียบๆ อยู่บนโซฟา จวบจนนาทีมรณะเดินทางมาถึง>>>
และนี่เป็นภาพที่คนไทยทุกคนรู้ดีอยู่แล้วครับ
ผมขอถามว่า การที่หนังสือพิมพ์ตั้งชื่อคน ๆ นี้ว่า จอมพลผ้าขาวม้าแดง หลังจากที่มีการขุดคุ้ยเรื่องเบื้องหลังออกมา หลังการตายของคนผู้นี้ ....มีเมียน้อยนับร้อยคน ท่านคิดว่าอย่างไร ? เทียบกับฮิตเลอร์แล้วเป็นอย่างไร ?
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายวิจัยประชาธิปไตย
วันที่ 1 มิ.ย.2558 23.59 น.
ความเห็นที่ 14
..........คิดได้ดังนั้น นงคราญจึงตัดสินใจเขียนจดหมาย ถึงร.ต.ต สมพร สั้นๆว่าเธอได้ตัดสินใจ เป็นอนุภรรยาของท่านแล้ว โดยสิ่งที่ นงคราญได้รับคือ เงินสด 5 แสนบาท รถเบ๊นซ์รุ่นใหม่ ตึกสีม่วงบนที่ดิน 150 ตารางวา แหวนเพชร 5 กะรัต 1 วง สร้อยเพชร 1 เส้น นาฬิกาฝังเพชร 1 เรือน เงินเดือนอีกเดือนละ 3 พันบาท รวมทั้ง ผู้เป็นบิดา ได้ย้ายจาก สงขลามาประจำที่กรุงเทพ โดยเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เป็นนายพันตำรวจตรี ....
ข้อมูลจากหนังสือ "จอมพลของคุณหนูๆ"
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายบัฟฟาโล(นายควาย)
วันที่ 2 มิถุนายน 2558 18.50 น.
ความเห็นที่ 15
[อมรา อัศวนนท์] นักแสดงอาวุโส (อดีตรองนางสาวไทย) ยังกล่าวอีกว่า คุณพ่อได้รับการติดต่อจากผู้ใหญ่ที่ชื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีสมญาว่า 'จอมพลผ้าขาวม้าแดง' (เป็นคำเรียกเมื่อสมัยก่อนว่าขาวม้าแดง) ว่าชอบเธอมาก ถึงขนาดเชิญคุณพ่อไปพบเพื่อจะขอแต่งงานกับเธอ โดยจะให้ที่ดินแถวสุขุมวิทย์ และเงินอีกจำนวนนับสิบล้าน......"จอมพลสฤษดิ์ สัญญาว่าจะให้ทุกอย่างเว้นเดือนกับดาว พี่บอกว่าไม่รักท่าน เพราะท่านหน้าเหมือนหมู แต่ถ้าจะให้ไปอยู่ด้วยกันต้องขอเป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่มีคนอื่นแบบนี้ ช่วงท้ายที่ท่านป่วยหนักเป็นโชคดีของพี่ ดังนั้นจึงใช้จังหวะช่วงนี้แอบไปจดทะเบียนกัน และแต่งงานกันหลังจากท่านตายแล้ว"
เห็นไหมครับว่า คน ๆ นี้มีอำนาจ ด้วยอะไร ? ด้วยระบอบเผด็จการ ทรราชย์ แล้วยักยอกเงินแผ่นดินไปอย่างมหาศาลเพียงเพื่อ สนองกามตัณหา ราคะจริตแห่งตนคนเดียวแท้ ๆ แต่กรณีนี้ อมรา อัศวนนท์ ได้เปิดเผยความจริงออกมา และความจริงที่ว่า เธอเป็นสตรีผู้รักในศักดิ์ศรีสตรีไทยอย่างยิ่ง นี่คือคนประชาธิปไตย ครับ
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายบัฟฟาโล(นายควาย)
วันที่ 2 มิถุนายน 2558 19.08 น.
ความเห็นที่16
มาดูภาพชุดกันอีกชุดหนึ่งนะครับ ดูเลยครับ
01 02 03 04
05 06 07 08
09 10 11 29
ลำดับ
|
ชื่อ
|
ช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่ง
|
เป็นรัฐบาลที่
|
1
|
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา |
28 มิถุนายน 2475 - 9 ธันวาคม 2475
|
1
|
10 ธันวาคม 2475 -1 เมษายน 2476
|
2
|
1 เมษายน 2476 - 20 มิถุนายน 2476
|
3
|
2
|
พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา |
21 มิถุนายน 2476 - 16 ธันวาคม 2476
|
4
|
16 ธันวาคม 2476 - 22 กันยายน 2477
|
5
|
22 กันยายน 2477 - 9 สิงหาคม 2480
|
6
|
9 สิงหาคม 2480 - 21 ธันวาคม 2480
|
7
|
21 ธันวาคม 2480 - 11 กันยายน 2481
|
8
|
3
|
จอมพล แปลก พิบูลสงคราม |
16 ธันวาคม 2481 -6 มีนาคม 2485
|
9
|
7 มีนาคม 2485 -1 สิงหาคม 2487
|
10
|
8 เมษายน 2491 - 24 มิถุนายน 2492
|
21
|
25 มิถุนายน 2492 - 29 พฤศจิกายน 2494
|
22
|
29 พฤศจิกายน 2494 - 6 ธันวาคม 2494
|
23
|
6 ธันวาคม 2494 - 23 มีนาคม 2495
|
24
|
24 มีนาคม 2495 - 26 กุมภาพันธ์ 2500
|
25
|
21 มีนาคม 2500 - 16 กันยายน 2500
|
26
|
4
|
พันตรี ควง อภัยวงศ์ |
1 สิงหาคม 2487 - 31 สิงหาคม 2488
|
11
|
31 มกราคม 2489 - 24 มีนาคม 2489
|
14
|
10 พฤศจิกายน 2490 - 6 กุมภาพันธ์ 2491
|
19
|
21 กุมภาพันธ์ 2491 - 8 เมษายน 2491
|
20
|
5
|
นายทวี บุณยเกตุ |
31 สิงหาคม 2488 - 17 กันยายน 2488
|
12
|
6
|
หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช |
17 กันยายน 2488 - 31 มกราคม 2489
|
13
|
15 กุมภาพันธ์ 2518 - 14 มีนาคม 2518
|
36
|
21 เมษายน 2519 - 23 กันยายน 2519
|
38
|
5 ตุลาคม 2519 - 6 ตุลาคม 2519
|
39
|
7
|
นายปรีดี พนมยงค์ |
24 มีนาคม 2489 - 8 มิถุนายน 2489
|
15
|
11 มิถุนายน 2489 - 21 สิงหาคม 2489
|
16
|
8
|
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ |
23 สิงหาคม 2489 - 30 พฤษภาคม 2490
|
17
|
30 พฤษภาคม 2490 - 8 พฤศจิกายน 2490
|
18
|
9
|
นายพจน์ สารสิน |
21 กันยายน 2500 - 26 ธันวาคม 2500
|
27
|
10
|
จอมพล ถนอม กิตติขจร |
1 มกราคม 2501 - 20 ตุลาคม 2501
|
28
|
9 ธันวาคม 2506 - 7 มีนาคม 2512
|
30
|
7 มีนาคม 2512 - 17 พฤศจิกายน 2514
|
31
|
18 พฤศจิกายน 2514 -17 ธันวาคม 2515
|
32
|
18 ธันวาคม 2515 - 14 ตุลาคม 2516
|
33
|
11
|
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ |
9 กุมภาพันธ์ 2502 - 8 ธันวาคม 2506
|
29
|
29 พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา
- ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
วันที่ 2 มิถุนายน 2558 20.01 น.
ความเห็นที่ 17
ภาพชุดใน คห.16 อ่านยากนะครับ และมีหลายประเด็น ผมเองอ่านได้เรื่องหนึ่งครับ นรม.เลขที่ 09 10 11 มี manager ครับ คือมีผู้จัดการตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีไทยช่วงนั้นคนเดียวกัน นั่นคือมีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (จอมพลผ้าขาวม้าแดงนี่แหละครับ) เป็น Manager เริ่มจากจอมพลขะม้าแดงคนนี้ทำการปฏิวัติ ไล่จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม หนีไปญี่ปุ่นและ ตายที่ญี่ปุ่นก่อน แล้วจอมพลสฤษดิ์ยังไม่รับอำนาจเอง ตั้ง นายพจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรี (คนที่9) แล้วเป็นได้เพียง 3 เดือนเศษ เท่านั้นเอง ก็ปลดเขาออก ตั้งจอมพลถนอมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 เป็นได้ปีเศษ ๆ ก็จึงให้จอมพลถนอมออก ตั้งตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 11 ครองอำนาจอันยิ่งใหญ่ ด้วยเขียนอำนาจเอาเอง ลงในกฎหมายเผด็จการชื่อว่า ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 มีมาตรา 17 ให้อำนาจสั่งฆ่าใครก็ได้ และได้สั่งฆ่าคนไปหลายสิบหลายร้อยคน (จากข้อกล่าวหาว่าทำความผิดร้ายแรงโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมสากลเลย) ตามที่ประชาชนไทยรู้ดีอยู่แล้ว แต่อยู่ไม่นาน 4 ปีเศษเองก็ตาย(ตายแล้วมีเงิน 2 พันกว่าล้านบาท...แค่เป็นใหญ่อยู่ 4 ปีเศษเอง ที่ดินกว่า 10,000 ไร่ มีอนุภรรยา 100 กว่าคน ๆ หนึ่งต้องจ่ายอัตรามาตรฐานคือ เงินสด 5 แสนบาท รถเบ๊นซ์รุ่นใหม่ 1 คัน ตึกสีม่วงบนที่ดิน 150 ตารางวา แหวนเพชร 5 กะรัต 1 วง สร้อยเพชร 1 เส้น นาฬิกาฝังเพชร 1 เรือน เงินเดือนอีกเดือนละ 3 พันบาท ฯลฯ) เมื่อตายแล้ว จอมพลถนอม จึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อมาอีก จอมพลคนนี้ก็เหลิงอำนาจ ครองอำนาจนานเกือบที่สุดของนายกรัฐมนตรีไทย แล้วยังไม่เคยคิดจะแบ่งปันอำนาจตามหลักการประชาธิปไตยเลย คิดอย่างเดียวครองอำนาจไปชั่วชีวิตตนอันมั่นใจความเป็นจอมพลทหารบกแห่ง จปร. จนเกิดเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 ขึ้น โดยเกิดขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยของเยาวชนนิสิตนักศึกษา ประชาชน และกรรมกร รวมพลังเดินขบวนอย่างยิ่งใหญ่ ถนอมสั่งให้เฮลิคอปเตอร์ ไปยิงลงใส่นักศึกษาในท้องสนามหลวง หน้ากรมประชาสัมพันธ์อย่างไร้เมตตา เพื่อสกัดกั้น แต่กั้นไม่อยู่ ถนอมต้องหนีไปต่างประเทศ นั่นแหละครับ แล้วก็อยู่เมืองนอกไม่ได้ ออกอุบายบวชเป็นเณรมาเข้าไทย นี่แหละครับประเด็นของผม ผมเห็นชัดเจนว่า จอมพลผ้าขาวม้าแดง และจอมพลถนอม นี้ เป็นศิษย์ผู้ทรยศต่อระบอบหรือศาสนาประชาธิปไตยอย่างเลวร้ายที่สุด ดูภาพคู่ประกอบครับ
ความรักของไฮ ฮิตเลอร์ อีวาบราวน์ ความรักของจอมพลผ้าขะม้าแดง วิตรา ธนะรัชต์
สองจอมพลไทยผู้พ่ายแพ้ คนหลังแพ้กาม กิเลสอย่างหมดรูป
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายวิจัยประชาธิปไตย
วันที่ 3 มิถุนายน 2558 19.05 น.
ความเห็นที่ 18
คราวนี้ย้อนกลับไปในอดีตไกลหน่อยนะครับ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ดูภาพนี้ครับ ภาพพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 รัสเซีย
โปรดแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ
- ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
5 มีนาคม 2558 09.05 น.
ความเห็นที่ 19
ขอเสนอภาพก่อนนะครับ แล้วมีเรื่องยาวหน่อยครับ เป็นความคิดเห็นของคนซื่อนะครับ
01 02 03 04
ภาพธิดาทั้ง 4 ของซาร์ นิโคลัส ที่2 แห่งรัสเซีย จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของรัสเซีย
01 แกรนด์ดัชเชสอะนัสตาซียา นีคะลายีฟนา
02 แกรนด์ดัชเชสโอลกานิโคเลฟนา
03 แกรนด์ดัชเชสมาเรียนิโคเลฟนา
04 แกรนด์ดัชเชสทาเทียนานิโคเลฟนา
คือระบอบกษัตริย์ในโซเวียตนี้ค่อนข้างชี้ให้เห็นสัจธรรมทางการเมืองระบอบกษัตริย์ทั่วไป ในประเด็นที่ว่า กษัตริย์ต้องการสิ่งที่เรียกว่าเอกภาพทางการปกครองอย่างสูงและเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นของระบอบกษัตริย์(หรือระบอบเผด็จการ) เอกภาพทางการบังคับบัญชาซึ่งมีนัยะความหมายว่า องค์การ สังคม สถาบันประชาชน ประชาชนทุกคนจะต้องคิดตรงกับสิ่งที่กษัตริย์หรือผู้ปกครอง ผู้บังคับบัญชา ใครขัดแย้ง ไม่ยอมรับ หรือมีทัศนะแตกต่างไปจากตน นั่นคือศัตรูที่ไม่มีสิทธิ์ที่อาศัยบนแผ่นดินเดียวกับตนได้
เมื่อทรงเป็นกษัตริย์ซาร์ นิโคลัสที่ 2 จึงทรงทำทุกวิถีทางเพื่อให้การปกครองรัสเซียเป็นเอกภาพทางการบังคับบัญชา จึงสังหารศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ยอมรับแนวทางการปกครองของพระองค์ โดยมุ่งหมายให้ฝ่ายตรงข้ามพระองค์ต้องหมดเกลี้ยงไปจากแผ่นดิน นั่นแหละเหตุผล แน่นอน เมื่อในแผ่นดินหนึ่งมีแต่คนที่เชื่อฟังเขา ปานศาสดาแห่งศาสนา แผ่นดินนั้นก็สงบ มีสันติแน่(แต่ มันทำอย่างนั้นไม่ได้) คนทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกเมือง ทุกตำบล หมู่บ้านต้องฟังคำสั่งพระองค์สถานเดียว พระองค์(รวมทั้งระบอบกษัตริย์ของรัสเซียก่อนพระองค์) จึงทรงปฏิบัติต่อศัตรูของพระองค์อย่างรุนแรง จนศัตรูการเมืองให้สมญาพระองค์ว่า นิโคลัสกระหายเลือด ดังปรากฎจากโศกนาฏกรรมโฮดีนคาโพกรมต่อต้านยิวที่ถูกกล่าวหา วันอาทิตย์นองเลือด ซึ่งเป็นการปราบปรามการปฏิวัติ ค.ศ. 1905 อย่างรุนแรง การประหารชีวิตศัตรูการเมืองของพระองค์อย่างเฉียบขาด และการติดตามการทัพในขนาดที่ไม่เคยมีมาก่อน
จุดพลิกผันของระบอบกษัตริย์โซเวียต สิ้นกษัตริย์องค์สุดท้ายเกิดจากการตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของซาร์นิโคลัสที่ 2 นั้นนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตของทหารและชาวรัสเซียนับล้านที่เมื่อรัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ชาวรัสเซียเสียชีวิต 3.3 ล้านคนจากสงครามโลกครั้งที่ 1 การจลาจลเกิดขึ้นทั่วเมืองในที่สุดปี 1917(พ.ศ.2450 ตรงกับสมัย รัชกาลที่ 7 ไทย) จึงเกิดการปฏิวัติล้มล้างระบบซาร์ และพระเจ้านิโคลัสที่ 2 จำต้องสละราชสมบัติ
พรรคบอลเชวิค (Bolshevik) นำโดย วลาดีมีร์ เลนินก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศและทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ (คือเผด็จการอำนาจมืดอย่างแท้จริงจนต่อมาได้ชื่อรัสเซียว่า ดินแดนหลังม่านเหล็ก) พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเป็น สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต(Union of Soviet Socialist Repubilcs หรือ USSR) แต่นิยมเรียกภาษาไทยว่า สหภาพโซเวียต ตั้งแต่นั้นมาถึงปัจจุบันนี้
สำหรับจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 เมื่อสละราชสมบัติแล้ว พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ถูกจำคุกทันที เริ่มที่พระราชวังอเล็กซานเดอร์ที่ซาร์สคอยเซโล แล้วต่อมาถูกส่งไปในจวนผู้ว่าราชการในโตบอลสค์ และท้ายสุดที่บ้านอีปาตีฟในเยคาเตรินบุร์ก ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1918 (พ.ศ.2461 ตรงกับสมัย รัชกาลที่ 7 ไทย) นิโคลัสถูกส่งตัวให้สภาโซเวียตอูราลท้องถิ่น นิโคลัส ภรรยา อะเลคซันดรา ฟอโดรอฟนา โอรส อะเลกเซย์ นีโคลาเยวิช ธิดาสี่คนคือ โอลกา นิโคเลฟนา, ทาเทียนา นิโคเลฟนา, มาเรีย นิโคเลฟนา, อานาสตาซียา นีคาไลยีฟนา และแพทย์ประจำตระกูล เอฟเกนี บอตคิน คนรับใช้ในจักรพรรดิ อเล็กเซย์ ตรุปป์ สาวรับใช้ในจักรพรรดินี อันนา เดมีโดวา และพ่อครัวประจำตระกูล อีวาน ฮารีโตนอฟ ถูกบอลเชวิคประหารชีวิตในห้องเดียวกันในคืนวันที่ 16/17 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 (พ.ศ.2461 ตรงกับสมัย รัชกาลที่ 7 ไทย)
· ผู้แสดงความคิดเห็น นายประยุกต์ นามเสพ
วันที่ 5 มิถุนายน 2558 20.20 น.
ความเห็นที่ 20
ภาพนี้ จากสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ แต่เป็นภาพที่ไม่มีคำบรรยาย ได้แต่ภาพเขามา ก็ขอบคุณมาก ๆ
· ผู้แสดงความคิดเห็น นายประยุกต์ นามเสพ
วันที่ 5 มิถุนายน 2558 21.10 น.
ความคิดเห็นที่ 21
ฮาอิล กอร์บาชอฟ นักประชาธิปไตยในรัสเซียคอมมิวนิสต์
·
แล้วรัสเซียก็เป็นคอมมิวนิสต์มาตั้งแต่นั้น ก็ปกครองแบบเผด็จการ ที่ต้องการเอกภาพทางการบังคับบัญชาอย่างยิ่ง นั่นคือคำสั่ง นโยบาย เป้าหมายการปกครองประชาชน จะต้องไม่มีผู้ใดขัดแย้ง ใครขัดแย้งก็ต้องปราบปราม สังหารไปให้หมด จึงทำให้รัสเซีย แม้เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ไม่มีวันสงบ ด้วยเหตุที่มีกระบวนการแก้แค้นอยู่ตลอดมา แล้วมาถึงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งสหรัฐอเมริกา USA และรัสเซีย USSR ต่างกลายเป็นฝ่ายชนะสงครามโลก กลายเป็นมหาอำนาจแห่งโลกขึ้นมา 2 มหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่ และได้กลายเป็นคู่แข่ง คู่ต่อสู้กันอย่างทัดเทียมในฝีมือและอำนาจ โดยสู้กันในแบบสงครามซ่อนเร้น คือสงครามเย็น แต่เนื่องจากรัสเซียเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นระบอบเผด็จการ ซึ่งเป็นระบอบที่ เมื่อมีฝ่ายค้านเกิดขึ้นในประเทศของตนแล้ว ไม่มีวิธีการแก้ไข หรือวิธีการรวมความเห็นเข้าด้วยกันอย่างไร ให้ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านสามารถเดินไปด้วยกันได้ มีแต่การที่จะต้องเข่นฆ่าสังหารฝ่ายค้านให้เกลี้ยงไปทั้งแผ่นดินอย่างเดียว USSR จึงไม่มีวันสงบลง ฝ่ายที่ถูกสังหารไปก็เตรียมการแก้แค้น ตราบมาถึงยุคล่มสลายของสหภาพโซเวียต เริ่มแต่ปี ค.ศ.1985(พ.ศ.2528) ฮาอิล กอร์บาชอฟ
ซึ่งมีแนวคิดระบอบประชาธิปไตย ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และขึ้นเป็นประธานาธิบดี
เริ่มแต่ปี ค.ศ.1985(พ.ศ.2528) ฮาอิล กอร์บาชอฟ ซึ่งมีแนวคิดระบอบประชาธิปไตยขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาเป็นผู้นำการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง เศษฐกิจ และสังคมที่เรียกว่า เปเรสตรอยกา (Perestroyka) โดยนำพาประเทศเข้าสู่ระบบทุนนิยม มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิด และพัฒนาฝีมือแรงงานรวมถึงเสนอนโยบายเปิดกว้างกลาสนอสต์ (Glasnost) คือให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชน มีการติดต่อด้านการค้ากับตะวันตก รวมถึงถอนกำลังออกจากยุโรปตะวันออกและอัฟกานิสถานและยังได้เข้าร่วมกับองค์การนาโต หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ.2533) กอร์บาชอฟได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รวมถึงได้รับยกย่องจากนิตยสารไทม์เป็นบุรุษแห่งศตวรรษ (Man of the Decade) กระนั้นเขาก็ได้เผชิญปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และความล้าหลังทางการผลิตที่สั่งสมมานานก็ทำให้นโยบายเปเรสตรอยกาเสื่อมทรุดล้มเหลวลง ความนิยมในกอร์บาชอฟเริ่มตกต่ำลง และเปิดโอกาศให้กลุ่มคอมมิวนิสต์หัวเก่าทำรัฐประหารขึ้นในเดือนสิงหาคม 1991(พ.ศ.2534) โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวเก่าที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดเสรี แต่บอริส เยลต์ซิน ก็สามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ กอร์บาชอฟจึงสิ้นคะแนนนิยมอย่างแท้จริง เขาประกาศลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงประกาศยกเลิกพรรคคอมมิวนิสต์ต่อหน้ามหาชน พร้อมด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำของเยลต์ชิน สหภาพโซเวียตจึงล่มสลาย สาธารณรัฐต่าง ๆ ทั้ง 15 สาธารณรัฐแยกตัวเป็นอิสระ รวมทั้งสาธารณรัฐรัสเซีย (Russian SFSR) ภายใต้ชื่อใหม่ว่า สหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation)
สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตกลายเป็นมหาอำนาจคู่แข่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง. ราวปี ค.ศ. 1947 พวกเขาเริ่มสงครามเย็น, การเผชิญหน้ากับอีกคนหนึ่งโดยทางอ้อม, ในการแข่งขันด้านอาวุธ และอวกาศ, นโยบายต่างประเทศของสหรัฐในช่วงสงครามเย็นถูกสร้างขึ้นรอบๆการสนับสนุนของยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่นและ นโยบายของ "เอาอยู่" หรือการหยุดการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์. สหรัฐอเมริกามีส่วนร่วมในสงครามเกาหลีและเวียดนามเพื่อ หยุดการแพร่กระจาย.
ในปี 1960s, โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจาก ความแรงของการเคลื่อนไหว ของสิทธิมนุษยชน, คลื่นอื่นๆของการปฏิรูปทางสังคมถูกนำมาใช้ในระหว่างการบริหารของ เคนเนดี้และจอห์นสัน, การบังคับใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของการลงคะแนน และ เสรีภาพในการเคลื่อนไหวของคนแอฟริกันอเมริกันและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ, การเคลื่อนไหวของชาวอเมริกันพื้นเมืองก็เพิ่มขึ้นด้วย.
เมื่อ มิคาอิล กอร์บาชอฟได้ขึ้นครองอำนาจเขาได้ดำเนินนโยบายปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจในสหภาพโซเวียตที่เรียกว่าแผน "เปเรสตรอยคา" (Perestroika) ที่ให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น เปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ให้เสรีภาพแก่สื่อมวลชน ซึ่งเป็นนโยบายที่ไม่มีผู้นำโซเวียตคนใดทำมาก่อน (นี่คือแนวประชาธิปไตย) นอกจากนี้ เขาได้ดำเนินโยบายถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ในปีค.ศ. 1988 การปฏิรูปของกอร์บาชอฟได้ส่งผลให้เกิดกฎหมาย Law on Cooperatives Law on Cooperatives ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่สมัยเลนิน กฎหมายนี้ได้อนุญาตให้ประชาชนมีทรัพย์สินส่วนบุคคล และดำเนินกิจการเอกชนได้ ซึ่งขัดต่อลัทธิมาร์กซ์อย่างสิ้นเชิง
ต่อมา ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 ที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ได้มีมติเห็นชอบยกเลิกการรวมอำนาจไว้ที่พรรคคอมมิวนิสต์ นั่นหมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์ได้กระจายอำนาจสู่ประชาชนและทำให้เกิดการเลือกตั้ง ส่งผลให้อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา รัฐจำนวน 15 รัฐของสหภาพโซเวียตได้รับรองกฎหมายเลือกตั้งทั่วไป และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียในปี ค.ศ. 1991 คือ บอริส เยลซิน ได้คะแนนสูงสุดถึง 57.3% (มีการเลือกตั้งในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1991) เนื่องจากกอร์บาชอฟมีความพยายามที่จะลดความเป็นศูนย์กลางอำนาจของสหภาพโซเวียตสหภาพโซเวียตตึงได้มีแผนจะผ่านสนธิสัญญา New Union Treaty ซึ่งจะมาแทน สนธิสัญญาการก่อตั้งสหภาพโซเวียต ปี ค.ศ. 1922 ซึ่งมีแผนจะลงนามในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1991 มีเนื้อหาแปลงสหภาพโซเวียตให้เป็นสหพันธรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นผู้นำของรัฐนั้น ๆ
การปฏิรูปของกอร์บาชอฟส่งผลให้เกิดความไม่พอใจในหมู่สมาชิกซ้ายจัดของพรรคคอมมิวนิสต์ และเกิดเป็นความพยายามที่จะยึดอำนาจการบริหารจากกอร์บาชอฟ เรียกการรัฐประหารครั้งนั้นว่า รัฐประหารเดือนสิงหาคม แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเนื่องจากเกิดการต่อต้านจากประชาชนส่วนมากในประเทศและเยลต์ซินสามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ ผลคือ คณะรัฐประหารถูกจับกุมและถูกสังหาร สนธิสัญญาถูกเห็นชอบ หลังจากผ่านสนธิสัญญารัฐย่อยต่าง ๆ ของสหภาพโซเวียตซึ่งมีความพยายามจะแยกตัวมากก่อนหน้านี้แล้ว ได้มีการลงประชามติเห็นชอบการแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต รัฐย่อยต่าง ๆ จึงได้แยกตัวจากสหภาพโซเวียตอย่างสมบูรณ์ ท้ายสุดในวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1991 (พ.ศ.2534) กอร์บาชอฟได้เห็นชอบโอนอำนาจการบริหารทั้งหมดจากประธานาธิบดีแห่งสหภาพโซเวียต ให้กับ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย และในคืนวันนั้นธงชาติสหภาพโซเวียตได้ถูกเชิญลงจากยอดเสาที่เครมลิน อันเป็นการสิ้นสุดสหภาพโซเวียตอย่างสมบูรณ์
สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือ USSR เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นเผด็จการ ที่มีวาทะว่า ศาสนาคือยาเสพติด นั่นแหละครับ จึงไม่รู้จักการแก้ไขในเรื่องการมีความคิดเห็น หรือนโยบายที่แตกต่างกันขององค์กรหรือสถาบันของสังคมหรือของประชาชนกลุ่มชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างเช่น 15 รัฐของสหภาพโซเวียตที่ว่านี้ ทำได้อย่างเดียวคือแนวคิดเผด็จการ ต้องมีเอกภาพทางความคิด ต้องมีเอกภาพทางการปกครอง ต้องมีเอกภาพทางการบังคับบัญชา ใครคิดต่าง มีนโยบายต่าง มีเป้าหมายต่างต้องกลับตัว หากไม่กลับตัวก็คือต้องถูกสังหารกวาดล้างไปเท่านั้น จึงนำมาสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปีค.ศ. 1991(พ.ศ.2534) เมื่อมาถึงวาระสมัยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ค.ศ.1991 เป็นยุคที่รัฐต่างๆ ของสหภาพโซเวียตแตกเป็นรัฐเอกราช 15 รัฐ ยังคงมีสหพันธรัฐรัสเซียที่ดำเนินนโยบายโดดเด่นในฐานะ เป็นรากเหง้าแห่งอำนาจคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต แต่อำนาจของประเทศเสื่อมสลายไปหมด สงครามเย็นจึงสิ้นสุดลงเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ปล่อยให้ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นมหาอำนาจของโลกเพียงผู้เดียว.ก็เพราะการเมือง USA ดำเนินนโยบายฉลาด สามารถรวมคน ประชาชน มลรัฐ และสถาบัน ที่มีความคิดแตกต่าง มีนโยบายแตกต่าง มีเป้าหมายแตกต่าง ให้มาร่วมมือกันกับอีกฝ่ายที่ตนคิดเห็นไม่ตรง ได้ โดยสันติ โดยฝ่ายที่คิดต่าง มีนโยบายต่าง มีแผนการต่าง ก็สามารถมีชีวิตอยู่ไปได้อย่างสบายในสังคม ประเทศ เมืองเดียวกัน มีความสุข พอ ๆ กับคนที่เป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายที่ทำนโยบายอยู่ขณะนั้น นั่นก็เพราะ ประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตย ศาสนาประชาธิปไตย ไงครับ ดูตัวอย่างได้เลยจาก อเมริกา 226 ปี(จากยอร์จ วอชิงตันมาถึง บารัค โอบามา 226 ปี เขาไม่เคยมีสงครามในประเทศกันเลยสักครั้ง และดูมลรัฐจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยไม่มีมลรัฐใดคิดแยกออกไปจาก USA เลย ออกไปตั้งประเทศใหม่ แม้ว่าแต่ละมลรัฐนั้นมีขนาดใหญ่โต บางมลรัฐโตกว่าประเทศไทย+กัมพูชา+พม่า+ลาว +มาเลเซีย เสียอีก แต่โซเวียต ยุคคอมมิวนิสต์ หลังสิ้นวงศ์กษัตริย์ ปี 1917(พ.ศ.2450) เป็นต้นมา โซเวียต มีแต่สงครามและการแก้แค้น มีการฆ่ากันไม่รู้หยุดหย่อน จนไปสู่การล่มสลายลงในปี พ.ศ.2534 (1991) และแม้หลังสุดก็มีการแยกตัวออกไป จาก โซเวียต ไปตั้งประเทศใหม่ของตน
มองเห็นได้เลยว่า ประชาธิปไตยนั้นเองสร้างอารยธรรมใหม่ที่สูงส่ง และอารยธรรมที่สูงส่งเช่นนี้แหละบอกถึงชัยชนะ สถานเดียวในการต่อสู้ทุกรูปแบบ
· ผู้แสดงความคิดเห็น นายประยุกต์ นามเสพ
วันที่ 5 มิถุนายน 2558 21.35 น.
ความเห็นที่ 22
ภาพนี้สวยมากนะครับ แต่ทรงถูกสังหารหมดอย่างไร้เมตตาจิต นั่นคือผลของระบอบเผด็จการนะครับ เผด็จการย่อมทำอย่างนั้นได้ครับ นี่เป็นสัจธรรมทางการเมือง รัสเซียยุคก่อนคอมมิวนิสต์ และยุคเป็นคอมมิวนิสต์ จึงเต็มไปด้วยความรุนแรง มีความรุนแรง อย่างสัตว์ที่กระหายสงครามในเหตุการณ์ที่สองฝ่ายต่อสู้กันเสมอ
01 02 03 04
ภาพธิดาทั้ง 4 ของซาร์ นิโคลัส ที่2 แห่งรัสเซีย จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของรัสเซีย
01 แกรนด์ดัชเชสอะนัสตาซียา นีคะลายีฟนา
02 แกรนด์ดัชเชสโอลกานิโคเลฟนา
03 แกรนด์ดัชเชสมาเรียนิโคเลฟนา
04 แกรนด์ดัชเชสทาเทียนานิโคเลฟนา
สิ้นพระชนม์ชีพไปในห้องพร้อมกันทั้งราชวงศ์ เรียงลำดับ จำนวน ได้ดังนี้ครับ
สำหรับจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 เมื่อสละราชสมบัติแล้ว พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ถูกจำคุกทันที เริ่ม <<< ที่พระราชวังอเล็กซานเดอร์ที่ซาร์สคอยเซโล แล้วต่อมาถูกส่งไปในจวนผู้ว่าราชการในโตบอลสค์ และท้ายสุดที่บ้านอีปาตีฟในเยคาเตรินบุร์ก ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1918 (พ.ศ.2461 ตรงกับสมัย รัชกาลที่ 7 ไทย) นิโคลัสถูกส่งตัวให้สภาโซเวียตอูราลท้องถิ่น>>>
1. พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 นับว่าสิ้นราชวงศ์กษัตริย์รัสเซียลงแต่เพียงเท่านี้
2. พระราชินีนิโคลัส ที่ทรงพระนามว่า อะเลคซันดรา ฟอโดรอฟนา
3. พระราชโอรส อะเลกเซย์ นีโคลาเยวิช
4. พระราชธิดาทั้ง 4 ตามรูปสวยงามนั้นแหละครับ องค์ที่ 1. โอลกา นิโคเลฟนา
5. พระราชธิดาองค์ที่2 ทาเทียนา นิโคเลฟนา
6. พระราชธิดาองค์ที่3 มาเรีย นิโคเลฟนา
7. พระราชธิดาองค์ที่ 4 อานาสตาซียา นีคาไลยีฟนา
8. แพทย์ประจำตระกูล เอฟเกนี บอตคิน
9. คนรับใช้ในจักรพรรดิ อเล็กเซย์ ตรุปป์
10. สาวรับใช้ในจักรพรรดินี อันนา เดมีโดวา
11. และพ่อครัวประจำตระกูล อีวาน ฮารีโตนอฟ
ทั้งหมด 11 คนนี้ <<< ถูกบอลเชวิคประหารชีวิตในห้องเดียวกันในคืนวันที่ 16/17 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 >>> (พ.ศ.2461 ตรงกับสมัย รัชกาลที่ 7 ไทย)
- ผู้แสดงความคิดเห็น สรศักดิ์ สนมไพร
วันที่ 7 มิ.ย. 2558 09.40 น.
ความเห็นที่ 23
โปรดดูภาพต่อไปนี้อีกทีนะครับ ผมเอารูปของคน ๆ หนึ่งใส่แทรกเข้าไปในภาพหมู่นี้ ผมจะขอถามว่า ท่านดูแล้วมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ ? รูปที่ผมแทรกเข้าไปนั้นดูสอดคล้องรูปหมู่เดิมไหมครับ ? ดูนะครับ
35 36 37 38
39 40 41 42
43 44 45
ผมใส่รูปคนนี้เข้าไปครับ ฮาอิล กอร์บาชอฟ เลข 45
ฮาอิล กอร์บาชอฟ นักประชาธิปไตยในรัสเซียคอมมิวนิสต์
- ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
วันที่ 7 มิถุนายน 2558 18.57 น.
ความเห็นที่ 24
ดูภาพมาตั้งแต่ คห.18 ถึง 23 มาหยุดที่ภาพเจ้าหญิงทั้ง 4 พระองค์นั้น แล้วน้ำตาซึม และเล็ดออกมาจากดวงตาของลูกผู้ชายอย่างผม อย่างไม่รู้ตัวเลย ชีวิตอันสวยงาม ทำไมมาจบลงอย่างนั้นครับ ? โลกเผด็จการ จึงเป็นเช่นนั้น โลกมารศาสนา รัสปูติน ...ก็มีส่วนมาสร้างความเสียหาย .....แด่กษัตริย์ ราชวงศ์โรมานอฟ วงศ์สุดท้ายของแผ่นดินรัสเซีย น่าเศร้าใจจริง ๆครับ
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุคนธ์ สิงศิษย์
9 มิ.ย.2558 00.25 น.
ความคิดเห็นที่ 25
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
มองใกล้ ๆ บ้านเรานี่แหละก็เจอครับ สังหาร 7 ชั่วโคตร มีที่ไหน ก็ในระบอบกษัตริย์บ้านเรานี้เอง นั่นคือสัจธรรมเผด็จการ เขาต้องการเคลียร์แผ่นดินทั้งแผ่นดิน ให้เหลือเพียงฝ่ายที่ฟังคำสั่งเขา ใครขัดแย้ง ไม่เห็นด้วย เป็นศัตรู ก็ตามมาฆ่าทิ้งให้หมดทั้งโคตร แต่ผมบอกแล้ว มันทำอย่างนั้นไม่ได้ ครั้นเมื่ออีกฝ่ายเขาตั้งตัวได้ เขาก็ฆ่าแก้แค้นไป ไม่รู้จบ การเมืองที่ฉลาด จึงมองมาที่ ระบอบ หรือ ศาสนาประชาธิปไตยไงครับ เพื่อที่จะอยู่กันอย่างมีภราดรภาพ เสมอภาค และ แบบเสรีชน แม้จะคิดต่างกันก็อยู่ด้วยกันได้ และได้ผลประโยชน์เท่ากันหมดทุกคน
เรื่องฆ่าทิ้ง 7 ชั่วโคตร มองยุคถนอม-สฤษดิ์ ก็พบ จอมพลผ้าขะม้าแดง ได้อำนาจ ม.17 (สำหรับอ้างประชาชนว่าเขาทำไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย เขามีความชอบธรรม เป็นคนดี) แต่ที่เขาทำไปอย่างลับ ๆ ไม่มีกฎหมายรับรองเลยนั้นไม่เคยมีการเปิดเผย
ผมรู้จักมือปืนของ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครับ อายุคงเข้า 80 กว่าแล้ว(เริ่มจากชั้นประทวน มาถึงสัญญาบัตร พันตรีครับ) มีหน้าที่อย่างเดียว ฆ่า เขาจะสั่งให้ฆ่าใครก็ฆ่า แล้วเขาสั่งฆ่าใครล่ะครับ ก็ใครก็ตามที่มีแนวคิด แนวทางอะไร ไม่ว่าเศรษฐกิจหรือสังคม การเมืองที่ขัดแย้งเขา หรือคนที่เขามองดูขวาง ๆ ตาเขา ๆ ก็สั่งฆ่าหมด และมือปืนนี่แหละมีหน้าที่อย่างเดียวฆ่า เขาระบุชื่อ สกุลมา ไม่ต้องถาม ฆ่าเลย เฉพาะมือปืนรายนี้ ไปกว่า 100 ศพ ยังมีมือปืนอื่นอีกไม่รู้เท่าไร และฆ่าไปไม่รู้เท่าไร ก็ทำให้อำนาจมืดครอบสังคม ไม่มีใครกล้าขัดแย้ง เขาพูดแบบใหญ่มาก ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ก็ไม่มีใครกล้าคิดแย้ง ไม่มีคน หรือ นสพ.ใดกล้าวิจารณ์ นั่นคือภาพภายนอก แต่เห็นไหม ได้สร้างความเคียดแค้น ชิงชัง อยู่ภายในอย่างรุนแรงและเตรียมการแก้แค้น เป็นเหตุของความระส่ำระสายตลอดมาของสังคมไทย
สำหรับมือปืนรายนี้ พอเจ้านายตายไป ก็ต้องหนี เพราะคนที่ถูกสังหารเขาก็มีญาติ ลูกหลานเขามี เขาก็เตรียมล่า มีการดวลปืนสู้กัน รูปแบบต่าง ๆ แต่มือปืนก็คือมือปืน เขายิงก่อน เสมอ ฆ่าคนที่เขาสงสัยทุกคน แบบว่าแค่คิดสงสัยก็ชักปืนยิงฆ่าเสียเลย โดยเพียงคิดว่า ไม่ฆ่าเขา ๆ ก็ฆ่าเรา นั่นหมายความว่าอาจจะฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่มีเจตนาตามล่าเขาตายไปเยอะ ก็ได้ และหนีไป ไปเหนือ ไปใต้ ไปอีสาน ไปเกาะกลางทะเล เพื่อเอาชีวิตรอด หลบซ่อนแฝงอยู่เร้นลับ ไม่มีความสุขสบาย ระแวงสงสัยไปชั่วชีวิต [ลองคิดดูนะครับ กรณี พล.ต.ขัติยะ สวัสดิผล และ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นอย่างไร]
ครับ ระบอบเผด็จการ เราจะต้องเรียนรู้จริง ๆ ให้เข้าใจจริง ๆ ก่อน ก่อนที่จะได้พูดกันต่อไปถึง ระบอบเผด็จการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ครอบครองโลกอยู่ขณะนี้ 2 ระบอบ ครับ ทำไมเราจะต้องเรียนรู้มัน ก็เพราะ เผด็จการ มันเป็นศัตรูตัวร้ายกาจของ ศาสนาประชาธิปไตยเรา อย่างไรครับ เมื่อท่านรักประชาธิปไตย เป็นสาวกประชาธิปไตย ท่านจะสัมผัสทันทีถึงศัตรูของประชาธิปไตย มันคือ เผด็จการนี้เอง
มาดูความหมายด้านภาษาศาสตร์ของคำว่า เผด็จการ กันก่อนนะครับ
1. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 หน้า 741 <<< เผด็จการ น. การใช้อำนาจบริหารเด็ดขาด, เรียกลัทธิหรือแบบการปกครองที่ผู้นำคนเดียวหรือบุคคลกลุ่มเดียวใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดในการบริหารประเทศว่า ลัทธิเผด็จการ , เรียกผู้ใช้อำนาจนั้นว่า ผู้เผด็จการ >>>
2. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 หน้า 626 <<< เผด็จการ น. การใช้อำนาจบริหารเด็ดขาด. >>>
3. autocracy จาก Reader’s Digest GREAT DICTIONARY หน้า 56 <<< autocracy noun (pl. autocracies) 1. a system of government by one person with absolute power. 2. a state governed in this way.
Autocrat noun 1. a ruler who has absolute power. 2. a domineering person. >>> [domineering >adjective asserting one’s will in an unwelcome manner]
ความเข้าใจ เผด็จการ ในเชิงภาษานี้ ยังไม่ลึกซึ้งเท่าความเข้าใจทางการเมืองโดยตรงนะครับ
- ผู้แสดงความคิดเห็น สรศักดิ์ สนมไพร
วันที่ 8 มิถุนายน 2558 12.25 น.
ความคิดเห็นที่ 27
ก็มีหน่วยราชการลับ งานราชการลับ เยอะมากครับ และมีการจัดการงบประมาณแบบไม่ต้องแสดงเหตุผล
ก็รู้กันอยู่ พวกพ้องก็รวย อยู่ดีกินดี ฟู่ฟ่าทั่วหน้านักปฏิวัติ
มันสมควรไหมล่ะครับ ?
แบบยุคจีนปฏิวัติเหมาเจ๋อตุง (1965-1968,พ.ศ. 2508- 2511) หน่วยเยาวชนเรดการ์ด มีราชการลับ ขนาดรายงานเรื่องราวของบิดา มารดาตนเอง ผู้หลักผู้ใหญ่ตนเอง ว่าชั่วร้ายไม่เห็นด้วยกับแนวคิดปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างไร ไปลงโทษถึงประหารชีวิตไปนับร้อยนับพันคน จนประมาณไม่ได้ แล้วเผด็จการก็สรรเสริญว่า ดี วิเศษ
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุคนธ์ สิงศิษย์
วันที่ 10 มิ.ย. 2558 18.18 น.
ความคิดเห็นที่ 28
เอาละครับ ถึงบทสรุปภาคที่ 1 กันละ ไปต่อภาคที่ 2 เอาภาพลงประกอบนะครับ ภาพสำคัญหน่อย
ภาพอะไรครับ คุณประยุทธ จันทร์โอชาตอบหน่อย
สรุปในภาพหมู่ George Washington 01 ถึง บารัค โอบามา 44 ถึง ฮาอิล กอร์บาชอฟ 45 ได้ดังนี้ครับ
1. เขามีหน้าตาดี สะอาด สว่าง สงบ มาก เพราะเขาได้เป็นประธานาธิบดีแล้วเขาก็ไม่เคยนึกกลัวว่าจะมีทหารสหรัฐมาปฏิวัติแย่งชิงอำนาจเขา (แต่เขาสั่งกองทัพได้ สั่งอย่างไรทหารก็ทำ ไม่ทำก็ปลดออกได้เลย แบบบารัคโอบามาปลดนายพลคนนั้นครับ) เขาก็ไม่ได้คิดกลัวว่าจะมีพรรคฝ่ายค้านไปทุ่มเก้าอี้ใส่ในสภา เหมือนนายกรัฐมนตรีไทยเลย และ 226 ปีมาก็ไม่เคยมีเช่นที่เมืองไทยมี เขาไม่เคยมีกองทหาร ไปแย่งอำนาจคนของประชาชนเขา (แท้จริงกองโจรเราดี ๆ นี่เอง)ก็เพราะทหารเขารู้หน้าที่ รู้ว่าตนอยู่ตำแหน่งอะไร อย่างไร
2. เขามีความสุขครับ เพราะเขาไม่คิดที่จะอยู่ในอำนาจตลอดชีวิตเขา เขารู้ดีว่า เขาอยู่ได้แค่ 4 ปี บ้าง เลยไปบ้าง แต่ไม่เกิน 8 ปี(หรือเรียกภาษากฎหมายว่า ไม่เกิน 2 สมัย 8 ปีไปได้) เขาก็จะต้องออกไปจากตำแหน่งนี้ และไม่เข้ามาอีกเลย นั่นคือ เขาใจดี ใจกว้างพอ ที่จะแบ่งปันอำนาจการเมืองให้คนอื่น ให้ประชาชนคนอื่น นักการเมืองอื่น เขาจึงล้วนมีจิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย ไร้ความเห็นแก่ตัว และใจว่างมาก มีธรรมะ ยิ่งกว่าชาวพุทธไทย ทหารไทยเสียอีก
3. เขาบริหารงานไปตามนโยบายที่บอกประชาชนไว้แต่วันเลือกตั้ง เขาจะทำอะไร เขาจะบอกไว้ก่อนวันเลือกตั้งเสมอ จะไม่มีนโยบายลับ ซ่อนเร้นน่าสงสัย แบบคณะรัฐประหารไทย ตัวอย่าง นาย บุช บอกประชาชนว่า การทหารในอาฟกานิสถานยังต้องเข้มขึ้น เขาจะต้องส่งทหารเข้าไปอาฟกานิสถานจนครบ 150,000 นาย อย่างที่เขาเตรียมส่งไปอยู่ก่อนวันเลือกตั้งนั้น (บุชเป็นประธานาธิบดีอยู่) แต่นายบารัคโอบามา(ผู้ท้าชิงตำแหน่ง) ว่า เขาจะถอนทหารออกมาจากอาฟกานิสถาน จะไม่เพิ่มจำนวน จะลดลงไปเรื่อย ปรากฎว่าคนอเมริกันชอบนโยบายบารัค โอบามา ก็เลยเลือกบารัค โอบามาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 (จนวันนี้เขาถอนทหารออกไปจนเหลือ 93,00 คนเศษเท่านั้น) เมื่อแพ้ ฝ่ายที่แพ้เขาก็ไม่โกรธ ไม่คิดแก้แค้น ไม่คิดทำอะไรอย่างที่พรรคฝ่ายค้านไทย(พรรคประชาธิปัตย์)ทำมาเลย เห็นไหม เขาทรงธรรมขนาดไหน ส่วนพรรคฝ่ายค้านไทย ผู้แพ้เลือกตั้ง เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ริษยา อาฆาตไม่มีจิตใจเป็นนักสู้ นักกีฬาเลยแม้แต่น้อย ยอมรับไม่ได้ แล้วยังด่าว่าประชาชนอีสาน ประชาชนชาวเหนือ ที่มีเปอร์เซนต์สูงเลือกรัฐบาลมา ว่าเป็นประชาชนคนโง่ (ส่วนประชาชนที่ฉลาด ที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์) นี่คือพรรคที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตยเลย และแสดงไร้จิตใจไร้ธรรมะกันขนาดไหน
4. เมื่อเขาเป็นประธานาธิบดี เขาไม่คิดว่าเขาเป็นนาย แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นทาส เขาประพฤติธรรมชั้นสูงของศาสนาพุทธ คือ ไม่มองตนว่าเหนือคนอื่น ไม่มองตนว่าต่ำกว่าคนอื่น ไม่มองตนเสมอคนอื่น (เขาไม่เคยศึกษาธรรมะในศาสนาพุทธหรอกครับ แต่ประชาธิปไตยสอนเขามาอย่างนี้) ภาพของเขาจึงออกมาเป็นเสรีชน เต็มสมบูรณ์
5. เขาเคารพประชาชนครับ และเขาก็คิดว่าเขาเป็นประชาชน เจ้าของอำนาจอธิปไตย ในฐานะอารยชนยุคใหม่ ที่มีสิทธิอย่างไร มีหน้าที่อย่างไร รักษาสิทธิของตน และทำตามหน้าที่ของตน และมีเสรีภาพอย่างไม่จำกัดในการศึกษา การสำรวจ และการวิจัยเรื่องต่าง ๆ ในสังคมโลก นั่นแหละทางเจริญของประเทศชาติ และของตนเอง เขาจึงเจริญมากอย่างไรครับ คุณเห็นในสื่อมวลชนไหม มีงานวิจัยของเอกชนอเมริกันออกมาเกลื่อนสื่อมวลชนอย่างที่น่าตกใจ ว่าเราหรือชนชาติไหนจะตามเขาไปได้อย่างไร แต่ที่พึงรู้ก็คือ ประชาธิปไตยทำให้เขาไปได้อย่างนั้น ขนาดนั้น
6. เขาเป็นคนรวยครับ เมื่อก่อนก็รวย เมื่อออกจากตำแหน่งก็รวย เพราะเขารู้การทำเศรษฐกิจดีครับ คนไม่รู้เศรษฐกิจคนอเมริกันจะไม่เลือกไปเป็นประธานาธิบดี เพราะอะไรครับ ? ก็เพราะคนไม่รู้เศรษฐกิจจะพาประเทศชาติรวยไปได้อย่างไร จะทำตนให้รวยได้อย่างไร นั่นเอง ส่วนบางประเทศนะครับ เช่นประเทศไทยนี่แหละเห็นไหม นายกรัฐมนตรีที่ชื่อจอมพลผ้าขาวม้าแดง ไปรวยเอาตอนเป็นนายกรัฐมนตรี 4 ปีเศษ ๆ นี่เอง (ปกติทหารก็ยิ่งไม่รู้เศรษฐกิจอยู่แล้วแต่อยากใหญ่) มีเมียน้อยหรือพูดเพราะหน่อยอนุภรรยา 100 กว่าคน มีที่ดินนับ 100000 ไร่ ฯลฯ เมืองไทยจึงมีความคิดหาความร่ำรวยทางนี้ไงครับ ทางทำปฏิวัติ รัฐประหาร ..... ไร้ความรู้ ความคิดทางหลักเศรษฐกิจ ทางการค้าขายทำการต่างประเทศ บางอย่างที่ดีอยู่แล้วก็ไม่ส่งเสริม เช่นหมอนวดไทย หายไปเกลี้ยง ทำไม ? แล้วยังไปคิดร้ายกับคนเก่งเศรษฐกิจ คนทำมาค้าขายเก่งระดับโลกไปอีกด้วย มันจะดีอย่างไร ?
เอาละครับ ไปต่อภาค 2 เลยนะครับ และก็คิดว่าเรื่องที่ว่ามาเป็นหลักวิชาล้วน ๆ ใช่ไหมครับ ? ก็คงจะได้เขียนไปอีกอย่างเต็ม ๆ ด้วยหลักการการเมือง ศาสนาประชาธิปไตย
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล
วันที่ 10 มิถุนายน 2558 20.00 น.
โปรดคลิกต่อ เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 2
โปรดคลิกติดตามต่อไป
กระทู้ 1:เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 1
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 2
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 3
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 4
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 5
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 6
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 7
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 8
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 9
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 10
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 11
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 12
กระทู้ 2: ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต
ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 1
ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 2
ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 3
ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 4
ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 5
ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 6
ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 7
กระทู้ 3 : ประชาธิปไตยยุคโควิด-19
ภาค 1 เยาวชนปลดแอกคืออะไร?