บทกวีการเมือง
จากวัดพระโต
ศรีสะเกษ
กวีนิพนธ์โดย พระครูพุทธิพงศานุวัตร
(พระร.อ.พยับ ปัญญาธโร)
เอกสารเผยแผ่อันดับที่ 4
Panyatharo Bhikku’s WBU WORKSHOP
WBU=World Buddhist University
ปญฺญาธรเถรปูชา
ปญฺญาธรเถรปูชา กาเยนวจมนสา
สาธุพุทธสุคุเณวา ธมฺมสงฺเฆวาหรมิ ฯ
สาธุครุคุณนิธิ มาตาปิตุจเมปีติ
ภูมิราชชินปาตี อหํตาสานํตกฺกยึ ฯ
อหํปญฺญาธรเถโร ธมฺมํวทมิปูชาย
โยธมฺโมวิราโคโหติ ตํธมฺมํอภิปูเชมิ ฯ
โยชโนวิราโคโหติ ตํชนํอหํวนฺทามิ ฯ
ปญฺญาธรเถรภิกฺขุ นิพนธ์
บทกวีสดุดี ๕ ธันวามหาราช พุทธศักราช ๒๕๔๒
เสด็จทอดพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราชลมารก
เมื่อ 4 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2542
เนื่องในวโรกาศพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา ๖ รอบ
ราชาเสฎฺโฐ มหุตฺตโม
หิตาย สพฺพโลกสฺส ปญฺญาเสฏฺโฐ วโร พทฺโธ
ฐิโต มคฺคเผลสุ โย วนฺเทหํ โลกนายกํ
ภูมินาโค มหาวีโร ภูมิเตโช มหานาโถ
ภูมิพโลมหาราชา ราชหํโส วิลาสิโน
หิตาย สพฺพภูตสฺส ราชาเสฏฺโฐ มหุตฺตโม
๑. ลุคราสาวกเจ้า พุทธิญาณ พู้นเฮย
เสร็จพรรษศาสนกาล ผ่องแผ้ว
อุดมโภคผลพลาญ ผองแผ่น ธรรมเฮย
ภูธเรศธแกล้ว เกลื่อนรี้พลผยอง ฯ
๒. ชลนองสองฝั่งฟื้น พระยายง เจ้าเอย
ทวาทศทะยานลง ลุ่มใต้
หนาแผ่นสุธารธง ดารดาษ ไฉนนั่น
ธาเรศร์เนืองนบไท้ ธิราชท้าวหงส์เหิน ฯ
๓. ดำเนินโดยเผด็จพร้อม พลไกร- ยุทธนา
เพียงพยุหขบวนชัย เข่นขว้ำ
แผ่พระกฤษฎาภิไธย รวงรุ่ง พระเฮย
ปานอัศวเมธกล้ำ แผ่นเรื้องใดหาญ ฯ
๔. สคราญน่านน้ำเฟื่อง ฟองชล- ธีเฮย
นาเวศขบวนยอยล กล่อมด้าว
อึงอุตมการชน สองฝั่ง กรุงนา
กอปรพระบารมิศท้าว ทอดผ้าเผดียงสงฆ์ ฯ
๕. ผองพงศ์พยุหกลั่นกล้า กลางสมร
ทองคู่กรรมกำจร เผ่นผ้าย
สองเสือห่มนาคร เฟือนฟั่น แลนา
ลงเล่นลำน้ำหว้าย แหวกเย้ามัสยา ฯ
๖. ขบวนนาเวศแพร้ว พรรณรงค์
สัพพสำเนียงลง ครั่นครึ้น
อนันตนาคภุชงค์ ควรพรั่น พระนา
ทรงพ่าพระกฐินขึ้น สะทกท้องธารธรรม ฯ
๗. นำขบวนหลากล้วนเหล่า พลาสินธุ์
รามราพณ์เกลื่อนพลยิน พ่างพื้น
นารายณ์สู่สุบรรณผิน โผผก เพลินเล่า
แผลงพระเดชเฟื่องฟื้น แผ่นเพี้ยงภินท์พัง ฯ
๘. ดั่งอสูรราพณ์ร้าย โคจรา รักษ์ฤา
หลายเหล่าทศพงศา แห่ห้อม
หลายเหล่าเผ่ารามา ขุนกระบี่ กบินทร์เล่า
สองหมู่เริงฤทธิ์พร้อม เผด็จฟ้าเฟือนฟอง ฯ
๙. หงส์ทองผยองเดชเพี้ยง ภุชคี
ครืนครั่นคุงธรณี อะคร้าว
เหิมพระเดชพระภูวดี- ศวรยาตร ลงแฮ
สุพรรณหงส์เห็จห้าว ผ่องพื้นโพยมยง ฯ
๑๐. อลงกรณ์อลงกตแก้ว นฤพาน พู้นฤา
วิมุตติเขตควรสนาน สร่างสร้อย
ขานขับเสนาะนิทาน ทิพโสต บนฤา
เย็นอุระร่ำคล้อย เคลื่อนฟ้าลงดิน ฯ
๑๑. เวคินทร์ลอรุ่มเรื้อง รวิวรรณ แลนา
อาทิตย์อัสดมพลัน เพริศแพร้ว
ชนวิโยคเยียวขวัญ ระส่ำเมื่อ ใดเล่า
หงส์หากคืนคาบแก้ว สนุกน้ำลำชาญ ฯ
๑๒. บารมีพระมากล้ำ เลอสรวง
บุญพระเทิดสยามปวง อยู่เกลี้ยง
ตรัยรัตน์จำรัสรวง เรืองทวีป ใดเล่า
บุญพระศาสนธรรมเลี้ยง โลกคล้อยคืนคลา ฯ
๑๓. อาทรพุทธศกสร้าง วิรกรรม เทอญนา
ขัตติยะพราห์มณานำ มุ่งเมื้อ
รังสรรค์สุธาธรรม บนโลก ปวงเล่า
เผด็จบาปบุญเอื้อ โปรดเอื้อสังสาร ฯ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
มูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร) และ หนังสือพิมพ์ดี
พยับรวิวรรณ(บาลี)-คุณบูรณ์ พิมพ์พรรณ(ไทย)
บาลี : บทขับสรภัญญะ ไทย : บทขับทำนองเสนาะ
ผู้ประพันธ์บทร้อยกรอง
บทกวีไว้อาลัย
แด่หลวงพ่อ พระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ
เจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม
มรณภาพ ณ วันศุกรที่๒๐มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕
(ลงพิมพ์ไว้หลายแห่ง เช่น ส.ค.ส.จากหลวงพี่ ๒๕๓๖)
หลวงพ่อโต ภาพเก่าแก่ที่สุด
ยุคยังมุงหลังคาสังกะสีอยู่
ก่อนสร้างพระมหาวิหารในปี พ.ศ.2509
บทนำ
หลวงพ่อท่านถามหาพารานี้
ใครเห็นมีราชธิปัตย์กษัตริย์ส่วย
เทพวรมุนีนี้มิร่ำรวย
แต่สำราญนักด้วยบริวาร
๑. ตะวันรอนอ่อนแผ้ว ผืนนภา พ่อเอย
สำเหนียกสุโนกนกกา ว่อนแล้ว
สัญญาณผ่านปราณปรา กฎสู่ ชนเฮย
แสงดับลับฤาแคล้ว สงัดพื้นดินหาว ฯ
๒. พราวแผ่นพิภพฟ้า ฟูฟอง
ถนัดหนึ่งเวหนผอง ตื่นต้าม
เมฆาเลื่อนลมลอง ลิวลิ่ว ลิวลิ่ว
ลมชีพจรใดห้าม โลกร้อนแรงขาม ฯ
๓. เขามานามท่วมฟ้า อนัตตา ท่านเอย
จึ่งอาจเด็ดชีวา พ่อดิ้น
เขามาห่อนมีปรา นีโลก ใดเฮย
ปกชีพทวยสัตว์สิ้น โลกรื้อรังสรวง ฯ
๔. มีแต่ปวงพิชิตเชื้อ สังสาร ท่านนา
สำเร็จกิจพิชิตญาณ ผ่องแผ้ว
จักไปปราศตามาร เล็งครอบ ข่ายเฮย
ทรงมกุฎธรรมแก้ว อยู่ค้ำเวียงบุญ ฯ
๕. พระคุณหลวงพ่อเพี้ยง สาคร
คือน่านธรรมนิกร กว่ากว้าง
นภากาศกลายกระจร ถึงถิ่น ใดนา
รสพระธรรมใดอ้าง อื่นล้ำฤาหวาน ฯ
๖. อนันตนานท่านเลี้ยง แดนธรรม
พ่าพฤกษาลดาพรำ แผ่นชื้น
พระคุณย่อมควรคำ หลังเล่า ฤาเล่า
ยามแดดแผดดายพื้น ห่อนเว้นวายถวิล ฯ
๗. ดุจดาวรินรื่นห้อง หนคราม พู้นนา
ใครอาจยุดดวงงาม สู่อ้อม
คือธรรมลุ่มลึกหลาม หลายหลาก
แนวปราชญ์ฉลาดน้อม อาจเอื้อมมาขุน ฯ
๘. พระคุณหลวงพ่อเพี้ยง ทินกร
แผ่พิภพพรมดอน ด่านด้าว
ดุจจันทร์สโมสร แสยงเยียบ เย็นนา
อุกฤษฤทธิ์อะคร้าว เขตแคว้นขุนธรรม ฯ
๙. จำพระจารึกล้ำ เหลือตรา
ผิวผ่ายเพรงชรา ล่วงแล้ว
เจ็ดสิบสี่พระพรรษา แสนโหด พระเอย
มัจจุราชฤาแคล้ว หลีกเว้นเวรวาง ฯ
๑๐. ปางนำผองเพื่อนกล้า สิงห์หาญ
คลี่เหยียบปฐพีลาญ แหลกคลุ้ง
ชิงมกุฎธรรมบาล สมเด็จ ปู่เฮย
เสนาะสรยุทธฟุ้ง เฟื่องหล้าลือขาน ฯ
๑๑. สิงห์อีสานหนึ่งผู้ เอกนา ยกเฮย
เพียงหนึ่งนิรนามตรา แผ่นใต้
คำรณราชสีหา หวลป่า แลฤา
สยบมฤคขวัญไท้ เที่ยวลี้แรมหึง ฯ
๑๒. หนึ่งนักรบเลิศผู้ สวามี
เหนือเอกอาสนรุจี เกษตรกว้าง
กลสัปรยุทธวาที ธรรมาสน์ ใดเลย
ปราบทั่วถิ่นไทยคว้าง ถนัดเพี้ยงตะวันผลาญ ฯ
๑๓. พระภิบาลภูเบศรด้าว สยามินทร์
ดุจนคราเรืองอินทร์ แต่งแต้ม
คือธรรมภิบาลชิน วรราช ธรรมเฮย
พระพูคลี่แย้มแย้ม โลกเรื้องรังสรรค์ ฯ
๑๔. สมัญญาพระเทพชั้น ราชา ยศเฮย
สบกษัตริย์ส่วยปรีดา กริ่งก้อง
ถนัดหนึ่งอินทร์นรา สูรย์ส่วย ชนเฮย
ฤาห่อนมีสองซ้อง มกุฎท้าวธรรมเสถียร ฯ
๑๕. จำเนียรมาเนิ่นหน้า เมืองเข็ญ
ทุรโยคฤาเย็น แผ่พ้อง
อยู่ยุคทุกข์ลำเค็ญ เขลาโฉด พระเอย
เนิ่นแต่ยินฟ้าร้อง ห่อนน้ำพรำฝน ฯ
๑๖. ทรหนเหตุช้า สาธารณ์
ทรราชสามาญ หมู่กว้าง
เสียงฤาเล่าเขาขาน เครงครึ่ม
ออกอรรถบัดสีอ้าง ข่าวล้ำลึกหลาย ฯ
๑๗. ทุรนทุรายโรคร้าย รุมรอน
โถมท่วมทัพพยาธิ์ฟอน ฟาดเฟ้น
ปานประดุจสังหรณ์ มัจจุราช แลเฮย
มือทะมึ่นมาเคล้น ชีพเมื้อเมือไว ฯ
๑๘. ยังภัยมัจจุราชเมี้ยง มาลบ เล่านา
มือโฉดมาปองจบ จักย้ำ
องครักษ์หากทันทบ ทรชาติ ชนนา
บังอาจข้ามข่ายล้ำ ท่านรื้อฤาเฟือน ฯ
๑๙. สามเดือนไคลห่างห้อง หนรา ชาเฮย
ขอนแก่นหมายมือมา ปกป้อง
มัจจุห่อนคลายตรา ตรวนชีพ เลยพ่อ
ใครอาจเห็นข่าวข้อง เขตไว้วังขัง ฯ
๒๐. คืนหลังลงแหล่งม้วย มรณ์ชนม์ แลนา
สู่วิสัญญีจน มืดม้วน
ผู้เดียวด่าวแดตน ถอนถีบ อยู่เฮย
โอ้อนาถนักถ้วน เท่าไร้ใครเหลียว ฯ
๒๑. ไป่ยืนเยียวยิ่งท้า ทายหาญ
ไป่ล่วงบรรลุปาน โอ่อ้าง
หากคะนองพจีฉาน เชิงเล่น ดายนา
ใครอาจหยั่งฤทธิ์ช้าง มัจจุท้าวยมขุน ฯ
๒๒. ฤาบุญบ่คู่เคี้ยง สมภาร แลนา
ฤาบาปพาอวตาร เลี่ยงลี้
ฤารอนเกลสมาร ผลาญชาติ
ฤาเกี่ยงบุพกาลกี้ หน่ายเร้นแรมศรี ฯ
๒๓. ยังวิโยคยิ่งแม้น เมืองคน
ซุ่มซับนัยนาชล รั่วแก้ม
จำด่วนไฉนดล จำพราก ฉะนี้นอ
ภารกิจก่อนเคยแย้ม ห่อนแล้วฤาขีน ฯ
๒๔. ยี่สิบมีนมาสแม้น วันเมือ
ท่านหากไกลคืนเขือ อยู่เศร้า
จากห่อนสั่งลาเผือ สักหยาด คำเล่า
ไปลิ่วไปล้ำเท้า เมื่อนี้ฤายิน ฯ
๒๕. สิ้นสหายเสี่ยวเชื้อ มาโฮม
พิลาปพิไรโหม เห่โอ้
เสี่ยวกู่สุดแรงโรม เสียงสั่ง
เสี่ยวผู้สั่งก็โถ้ หน่อยได้ตามกราย ฯ
๒๖. เสียดายสิงหชาติเชื้อ วีรชน
แต่เกิดกอปรกรรมผล ห่ามห้าว
เสียดายเวทวิทยมนต์ แรงเรี่ยว
ดุจดั่งเพชรเม็ดร้าว บ่ได้ทอแสง ฯ
๒๗. เสียแรงเพียรผ่ายเบื้อง โบยบุญ
สบสู่มรรคาหนุน ส่งเชื้อ
เสียแรงดำรงจุน ตำแหน่ง ยิ่งเล่า
บอาจอำนวยเอื้อ สุขได้ดังหมาย ฯ
๒๘. เสียดายดุริยศัพท์ซ้อง สาธุการ
นฤโฆษิตพิศดาร ดุ่งด้าว
เชิงปราชญ์อาจไพศาล เสมอเมฆ
บ่อาจส่งใช้ท้าว ฝ่าร้อนแรมหนาว ฯ
๒๙. เสียแรงทาวอุทิศทั้ง ชีวี
ครองศาสน์สุวรรณรตนี แห่งห้อง
สนนสนุกทุกข์ทวี ฉานซ่าน
ดุจชดพี่น้องพ้อง เพื่อนไซร้ใจหาญ ฯ
๓๐. ผิว์ชนพาลเล่ห์เลี้ยง โลกันต์
แสนเศิกคุมประจัน เข่นข้าง
ปวงรักรักหนักผัน พลช่วย รับฮา
ชังหากชุมอริล้าง เกลื่อนพื้นดินหยาม ฯ
๓๑. นานนามเทพวรมุนินี้ ตูจาร ลงแล
เสมอปราชญ์เมธีชาญ ชื่อไว้
สืบอนาคตกาล ยาวโยชน์ พู้นพ่อ
ผิดชอบชั่วดีไซร้ หากเร้นเกินเห็น ฯ
๓๒. เป็นหนึ่งบรรณรุจิไว้ เวียงกวี ท่านเอย
เพียงกิ่งกาญจนมณี โชติช้อย
ประกายพรึกพริบพรี เพียงรุ่ง อรุณเฮย
กว่าสุริยงยศคล้อย เคลื่อนฟ้ามาเฉลิม ฯ
นรม.หญิงคนแรกของประเทศไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เยี่ยมเยียนประชาชนศรีสะเกษ ในปี พ.ศ.2556
พระ ร.อ.พยับ ปญฺญาธโร
อดีตเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ
สวัสดีปีเก่า
กวีนิพนธ์แห่งความรัก
(คีตกวีแห่งดงลำดวนหรือพิณพาทแห่งกวีศรีสะเกษ)
โอ้แผ่นดินถิ่นนี้เป็นที่รัก
พิณพาทแห่งกวีศรีสะเกษ
โอ้แผ่นดินถิ่นนี้เป็นที่รัก
เพิ่งประจักษ์ความหมายทั้งหลายผอง
โอ้แผ่นดินถิ่นนี้ที่หวังปอง
ตามสนองใฝ่สนานนับกาลมา ฯ
ข้าเดินเดียวเปลี่ยวพะว้าพะวังหวัง
ช่ำมะเลืองหลังยังหมายใครมองหา
สาส์นนี้หรือสื่อสารวานเพื่อนมา
ร่วมเคียงข้ายาตราผจญมาร ฯ
นี่คือสาส์นผ่านจิตสู่มิตรผอง
กล่าวครรลองธรรมชาติอันอาจหาญ
ที่เร้นลึกคึกสะพรั่งอลังการ
อยู่เนิ่นนานเนาสนมได้ชมชาย ฯ
เพื่อนคือดาวดิเรกรุ่งจากกรุงฟ้า
แห่งหาวห้วงเวหานภาผาย
จุติสู่กรุงดินอยู่รินราย
ประจำค่ายคอยวันลั่นเริงรบ ฯ
เพื่อนผู้รู้อยู่แท้แต่ภายจิต
นิรมิตฤทธิ์โลกโศรกประสบ
เศิกแรงเรื้อเหลือห้าวมาท่าวทบ
ถึงเจนจบสุดสวรรค์ยังพรั่นพราย ฯ
แด่เพื่อนรักผู้สลักฤทัยชิด
สนมสนิทพุทธศาสน์ดั่งมาดหมาย
เพื่อนผู้รักสลักจิตไม่คิดคลาย
น้อมถวายธงชัยจะใฝ่ธรรม ฯ
ธงชนะฉะนั้นพลิ้วพิไรอยู่
เพื่อนจุ่งดูรู้ฝืนไปชื่นฉ่ำ
เพียงเคหาแห่งห้องลำยองยำ
แสนประเสริฐเลิศล้ำคำบรรยาย ฯ
ปีใหม่นี้ปีทองห่อนหมองไหม้
ปีนี้ไซร้ปีรุ่งดั่งมุ่งหมาย
ปีที่แสงแรงตะวันยิ่งพรรณราย
ดุจจันทร์ฉายแสงฉ่ำล้ำราตรี ฯ
จงเดินเถิดเดินหน้าอย่ารอรั้ง
สู่ความหวังดังฝันอันฉวี
สืบคุณธรรมล้ำค่าที่ปรานี
รัฐราษฎร์ศาสน์กษัตริย์พลีนิรันดร ฯ
ข้าอยู่ดินถิ่นสวนลำดวนงาม
หน่อพระนามสยามิศรอดิศศร
ท่ามพงษ์เผ่าชาวพิมลพลนิกร
ศรีนครลำดวนแดนแผ่นไพบูลย์ ฯ
แม้นลำดวนบานนานสะท้านถิ่น
ชนนีศรีนครินทร์บดินทร์สูร
ถึงท่วมดินกลิ่นตระหลบอบอาดูร
ไม่หอมปูนธรรมรสหมดอาลัย ฯ
แล้วลมหวนลำดวนกลิ่นถวิลแท้
ได้เกลี่ยแก้รันทดหมดใจใส
มโนธารผ่านพฤกษาลดาไพร
ผ่านไผทกว่ากว้างห้วงโลกันต์ ฯ
สู่มิตรรักผู้สมัครมาฝักใฝ่
เป็นเพื่อนใจร่วมจิตคิดรังสรรค์
สืบคุณค่ามโนธรรมล้ำลาวัณ
เพียงแจ่มจันทร์กระจ่างฟ้า ณ ราตรี ฯ
เพื่อนผู้มาหาอยู่แม้ครู่หนึ่ง
ให้นึกซึ้งตรึงนักรักศักดิ์ศรี
ถึงจากไกลใจนับทับทวี
ด้วยความดีมีเหมือนดั่งเพื่อนใจ ฯ
แต่มิตรมีที่มาประสงค์อยู่
ร่วมชื่นชูแผ่นไผทใหญ่ไมห
ดูให้รู้เหตุแห่งแคลงหทัย
แว่วหวั่นในมโนนึกอันตรึกตรอง ฯ
ขอความดีมีสง่าแด่ข้าน้อย
ดับความสร้อยรอยโศรกวิโยคหมอง
นำความตรึกลึกล้ำถึงทำนอง
ตามครรลองอริยชาติปราชญ์เมธา ฯ
บุญข้าน้อยร้อยใจถวายวิเศษ
พระผู้รุมคุ้มเกศเกล้าเกษา
ด้วยตั้งจิตอธิษฐานแต่นานมา
หวังไขว่คว้ายอดยุดมกุฎธรรม ฯ
เพื่อนจุ่งดูรู้หมายผกายแก้ว
อันเพริศแพร้วเพียงสถานพิมานฉ่ำ
เพื่อจุ่งดูรู้หมายด้วยใจจำ
มโนธารหวานล้ำคำพรรณนา ฯ
มาซิมาช้าอยู่หลายครู่แล้ว
มาสู่ความผ่องแผ้วสุขหรรษา
ทิ้งของคาวโลกีย์แห่งโลกา
ทิ้งพาราเหลียวคะนองครรลองบุญ ฯ
เหินฟ้ามาละล่องฝ่าละอองเมฆ
บัดเดี๋ยวเศกแพรพรมลิ่วลมหนุน
ชื่นละอองท้องนภาการุณ
สะอาดอุ่นกรุ่นเกษมเปรมปรีดา ฯ
เพื่อนมาถึงพึงพิศพินิจฉะนี้
ด้วยความดีหลายหลากยากนักหนา
เร่งเพียรคิดพิศมัยไขปัญญา
ซึ้งคุณค่าหฤทัยที่ใฝ่ธรรม ฯ
คือคติสร้างรังสรรค์สวรรค์พิภพ
มาบรรจบแดนโศรกแห่งโลกต่ำ
เพื่อนมาแล้วแผ้วถางทางระกำ
ร่วมจดจำเจ็บแค้นแผ่นดินทราม ฯ
ร่วมแผ่นดินร่วมถิ่นนรินทร
ร่วมทุกข์สุขสโมสรชนสยาม
สละโลกุตตระอาภาฟ้างาม
อยู่ท่ามกลางพลกามโลกีย์ ฯ
แล้วลมหวลลำดวนกลิ่นรินรินรื่น
ดอกดวนดื่นพนารักษ์สมศักดิ์ศรี
โอ้ดวนเอ๋ยเชยใดในปัถพี
มิแม้นเหมือนลำดวนนี้น่าภิรมย์ ฯ
ถึงดอกฟ้าบุษบาปาริชาติ
มณฑาทิพย์ทิวสะอาดละอองฉม
มิแม้นเหมือนลำดวนดินถิ่นนิยม
ได้ชื่นชมกว่าฟ้าลดาไกล
ลำดวนเกลื่อนเตือนฝันประหวั่นนัก
ดมดอกรักหวลหอมยิ่งกล่อมใส
แต่ตูข้ามาแล้วแคล้วครรไล
อยู่ห่างไกลเพื่อนสิ้นทั้งดินดาล ฯ
เพื่อนข้ามีมากมายหลายแห่งห้อง
ล้วนเผ่าผองธรรมบุตรสุดไพศาล
อยู่ฟากฟ้านภาพรหมยมบาล
ล้วนเชี่ยวชาญวรวุฒิยุทธวิธี ฯ
เพื่อนผู้มุ่งหมายเมื้อเยื้อไตรรัตน์
อาจเอื้อมฉัตรสุภาภรณ์อ่อนฉวี
เพื่อนผู้แกล้วแนวหน่อชินบดี
อาทรธรณิศนี้จะปรีดา ฯ
เพื่อนผู้ผ้ายพนมไพรไกลลิ่วล้ำ
ถึงฟ้าฉ่ำเชยทะเลแห่งเวหา
สู่ท้องครามนามสมุทร์สุดอาภา
กลืนภักษาเทพทิพย์โลกนิพพาน ฯ
เพื่อนผู้แผ้วแคล้วข่ายราคีคาว
ดั่งดวงดาวพราวแสงอนันตฉาน
เรื้องนภาอำไพพิไลลาน
ผยองยศหยิ่งสะท้านพิมานบน ฯ
เพื่อนหากเมินเหินห่างเส้นทางนี้
เส้นทางที่ข้าฝ่ามาสับสน
แหนงเพื่อนกล้ามาแล้วแผ้วพิมล
นรชนคืนถวิลถิ่นพระธรรม ฯ
โลกนี้ต่ำเพียงดินไร้สินศักดิ์
จึ่งช้านักมักใคร่ใฝ่ทางต่ำ
คือแนวธรรมดามนุษย์สุดระกำ
มีแต่ร่ำระบือทุกข์ไปทุกกาล ฯ
ข้ามาอยู่ครู่หนึ่งพึงเห็นเหตุ
ทางเทวษนรสัตวามหาศาล
จำเพื่อนกล้ามาพร้อมกล่อมกรุงพาล
ลองประมาณกลยุทธวุฒิธรรม ฯ
ถึงวันนี้ฝ่าฟ้ามาหลากฟ้า
ต้านเวหาหาวแล้งแรงระห่ำ
จะเด็ดปีกปักษาถลาคะมำ
ช้าระบำเริงฟ้อนอ่อนอวยลม ฯ
โอ้ว่าองค์สมณะพระผู้ใหญ่
ผู้เตร็จไตรโลกานราศรม
โอ้ว่าองค์สมณะมหาโคดม
องค์บรมพุทธชาติศาสดา ฯ
เราจะบินบินบินและบินไป
สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า
แม้วันนี้มีเมฆร้ายมหิมา
ก็ไม่หวาดไม่ผวาคณาภัย ฯ
ถึงเขาใหญ่สูงเงื้อมตระหง่านฟ้า
ก็จะฝ่าฤาพรั่นนึกหวั่นไหว
มหาสมุทรสุดสายลมไกว
จะเอื้อมไปให้ถึงซึ่งฝั่งดิน ฯ
ถึงแห้งเหือดเลือดหมดหยดสุดท้าย
แล้วก็หมายชนหลังยังถวิล
สัจธรรมนี้ไว้ในธรณิน
กว่าจะสิ้นกัปกัลป์พุทธันดร ฯ
ละลิ่วไปในระหว่างทางเมฆใหญ่
เงื้อมไศลไพรพนิศร์มหิศร
ด้วยสัจจะวิชชาปัญญาธร
ค่อยแรมรอนเรื่อยไล่ใกล้เวคิน ฯ
ด้วยเส้นทางบินฝ่ามหาวิบาก
เพียงดั่งลากรอยจารพลาญหิน
เป็นแผนที่ทางพิสุทธิ์อุตริน
เพื่อแผ่นดินชนหลามตามครรไล ฯ
แล้วถึงคราวปลีกบินถิ่นวิเวก
ในแดนเอกมหาอุตม์สุดไสว
ฝนตัวเองเลือนลับค่อยดับไป
สู่ธงชัยมหรรณพจบนิพพาน ฯ
โอ้โยมเอ๋ยอาตมาสละโลก
สิ้นความโศรกสงสัยในสงสาร
นับแต่นี้สืบสันต์นิรันดร์กาล
บัวจะบานเบิกช้อยรอยบรรจง
A lot of thanks to ARKIVE
ขอบคุณ อาคิฟ มาก ๆ
โอ้เอี้ยงเอ๋ยเคยบินแต่ดินต่ำ
ไม่เหมือนส่ำสกุณาพญาหงส์
โอ้เอี้ยงเอ๋ยเคยร่อนก็แรมลง
เพียงป่าดงยอดหญ้าชลาลัย ฯ
มิเคยเหยียบเยียนฟ้ามหาศาล
แดนพิมานเมฆาเวหาใหญ่
เป็นทางเที่ยวพญานกผกโผนไป
เหลือวิสัยดั่งเอี้ยงจะเมียงมอง ฯ
พุ้นคือเผ่าภูติฟ้าปักษาสวรรค์
อันไพเราะเสนาะสนั่นนภาผอง
อาตมภาพมาพลันตามครรลอง
อริยสัจประเสริฐต้องคะนองธรรม ฯ
พยับรวิวรรณ
ศรีสะเกษกำสรวล ศรีสะเกษ ๒๕๒๗
ไพบูลย์ ขัณฑเขต
ศรีสะเกษกำศรวล ศรีสะเกษ ๒๕๒๗
เรื่องราวของประชาชนกับเมืองที่ยากไร้
ลงตีพิมพ์ใน น.ส.พ.เสียงศรีสะเกษ
ฉบับที่ 27,28 และ 29 ออกระหว่างวันที่
1 ธันวาคม 2527 - 31 มกราคม 2528
(พยับรวิวรรณ) ร้อยกรอง ในนาม
ไพบูลย์ ขัณฑ์เขต
เมืองไม่ตื่นคืนค่ำนี้ศรีสะเกษ
จะหลับเนตรสนิทนิทราที่อาศัย
พรุ่งจะปลุกลุกเขาอื่นขึ้นหน้าไป
ไวไวไววิ่งวิ่งวิ่งดั่งลิงลม
ขอคืนเหลียวดูข้างหลังสักครั้งหนึ่ง
ดูแล้วคิดคิดให้ซึ้งจึ่งสาสม
คำหยามหน้าว่าที่โหล่ใครโง่งม
ไม่รู้ขมขื่นได้ไข้อายคนจร
ไม่เคยฝันสักครั้งหนึ่งถึงศักดิ์ศรี
ไม่เคยมีสักความหมายอันไถ่ถอน
ความยากล้นคนไร้ค่าอนาทร
แท้การสอนสิ้นค่าครูดูจงดี
เขาที่ไหนใครกันเล่าจักเข้าจิต
นอกจากมิตรทั้งมวลหมู่อยู่เมืองศรี
ลุกลุกขึ้นเร็วไวไวไขลานที
เร่งขัดสีเจ้าเนื้อแก้วแล้วยาตรา
ข้างหน้าไกลใช่แถวทิวเขาลิ่วล้ำ
เจ้าเพิ่งคลำด้ำหวีวางสางเกศา
อันอับจนร่นหลังถอยด้อยปัญญา
เร็วเร่งรบลบดวงตราอันอัปรีย์
เมืองอื่นหลายเลี้ยงปลาดีนามีข้าว
อุดมด้าวแดนรุ่งเรืองยิ่งเมืองศรี
เคยมีปลาก็ล้วนผอมไม่อ้วนพี
เคยข้าวดีก็เพียงได้ขายคืนทุน
มาบัดนี้สิแผ่นดินสิ้นทุกอย่าง
นาก็ร้างด้วยฝนแล้งแรงลมกรุ่น
จวบเดือนเก้าเข้าพรรษาจึ่งมาจุน
พอตกกล้าได้กระชุ่นอุ่นอกใจ
ถึงหน้าดำน้ำบ่ามาปลาเหลือร้อย
ด้วยดินทรามใส่ปุ๋ยคอยข้าวเติบใหญ่
ปลาก็แพ้เคมีฆ่าชลาลัย
ตายเกลื่อนไปในนาข้าวทั้งราวธาร
สิ้นความคิดสิ้นปัญญาประชาราษฎร์
ถึงคราวยากเพราะยิ่งขาดธาตุอาหาร
เคยหน้าน้ำทำปลาร้านับทะนาน
บัดนี้สิสุดกันดารปั้นจิ้มเกลือ
จะเอาแรงที่ไหนกันไปสรรสร้าง
จะพลิกฟื้นผืนแผ่นร้างก็ล้าเหลือ
ยาฉีดซ้ำน้ำปลาเหม็นตายเป็นเบือ
ช่างเหลือเชื่อชาวศรีสู้อยู่อย่างไร
ถัดมาถึงคราวข้าวเขียวเยียวความเข็ญ
พายุมาฟ้าบนเป็นดั่งป่วยไข้
หลายวันคืนลมกระหน่ำซ้ำหนำใจ
น้ำท่วมใหญ่มิดข้าวขาวดั่งดาวราย
อนิจจาอาเพทพังทั้งแผ่นด้าว
ก็ถึงคราวปลากลับฟื้นคืนชลสาย
น้ำดั่งน้ำเนตรประชามากล้ำกราย
ได้ปลาหมายแทนข้าวล้มเป็นตมโคลน
รอน้ำลดจึ่งได้ลงนาดำใหม่
แล้วก็ใส่ปุ๋ยฆ่าปลาตายอีกหน
น่าอนาถความรักสองในท้องชล
ต้องพิกลขาดขั้นคราวข้าวกับปลา
สาวสาเหตุอาเพทใหญ่ในเมืองนี้
ทวยราษฎร์ร้อนห่อนเห็นมีที่แลหา
นายประมงอยู่จังหวัดเต็มอัตรา
ก็เฉื่อยชาไม่สมศักดิ์รักษาการณ์
ชมพ่อเมืองเคยเลื่องลือระบือยศ
ไฉนกาลนี้จึ่งหดไม่ห้าวหาญ
หาใครเล่าเหล่าผู้กล้าประชาบาล
สมสมภารสานฝั่งแก้วแผ้วเมืองดอย
ครั้นหน้าเกี่ยวคมเรียวเคียวขวั้นข้าวล้ม
ควรภิรมย์ก็ไม่สมดั่งเอื้อมสอย
ด้วยความหวังทั้งตาปีที่รอคอย
ก็คือผลแม่รวงพร้อยพรั่งผืนนา
แต่อนาถศักดินาเพียงข้าทาส
น่าประหลาดล้วนแคล้วคลาดวาสนา
เมืองไทยน้อยด้อยทุกสิ่งสินปัญญา
จึ่งสมค่าเป็นเจ้าของท้องนาไทย
ลดค่าเงินเพียงจะพังทั้งท้องทุ่ง
มิเห็นใครอีกแล้วมุ่งมาแก้ไข
มิเห็นใครอีกแล้วผู้จะเห็นใจ
มิเห็นใครอีกเป็นเพื่อนยามยากเย็น
ราตรีล่วงห่วงลูกน้อยละห้อยไห้
จะหาฟืนฝืนฝ่าไปมองไม่เห็น
ใช้ชีวิตผิดมนุษย์สุดจะเป็น
ดั่งไว้เซ่นลิขิตฟ้าดาราโดม
ก่อนอรุณจะรุ่งรางสางแผ่นหล้า
หมอกก็หมายสายหมอกหนามาห่มโหม
กลั่นเป็นน้ำค้างใบตองต้องลมโลม
ปูพรมโซมสุดแผ่นเฉียบยะเยียบเย็น
มิเห็นใครเช็ดน้ำตาประชาราษฎร์
โพธิสัตว์มาสืบชาติก็คงเข็ญ
วิบากกรรมซ้ำทรุดสุดลำเค็ญ
เหมือนเดือนมืดมิดไม่เห็นเดือนตะวัน
ช่วงต่อมาห่าลงซัดฝูงสัตว์เลี้ยง
ไก่ตายเกลี้ยงทั้งหมู่บ้านสะท้านขวัญ
เมืองเมื่อนี้น่าวังเวงเพลงโลกันต์
ช่างน่าพรั่นหวั่นอกช้ำกล้ำน้ำตา
ถึงคราวนี้หนี้ก็รุมสุมท่วมหัว
ต้องเสียตัวสาวสาวร้อนนอนผวา
วัวควายข้าวเข้าของกินถิ่นที่นา
เสียน้ำตาเหลืออกชาติทาสที่ดิน
เมื่อกระนี้แม้เคยเรืองเมืองก็ล่ม
ตระหง่านเหลือก็ถล่มล่องลอยสินธุ์
แต่เมืองศรีใช่ร่ำรวยสวยโสภิน
เหมือนแมงเม่าเหล่าไรริ้นบินสู่เพลิง
หมู่หน้าตายหมู่หลังว่อนวะวู่วุ่น
ตื่นตามกันไป่รู้คุณโทษเถลิง
ปลายธันวานาข้าวเตียนเลี่ยนโล่งเลิง
ข้าวก็เกลี้ยงยุ้งยุ่งเหยิงป่วนเปิงใจ
พ่อค้าโหดกดราคาห้าสลึง
ขายข้าวเหนียวเกลี้ยงแต่พึ่งเก็บเกี่ยวใหม่
มะลิหอมอย่างดีแย่งแข่งขนไป
แม้เพียงได้เก้าสลึงหนึ่งกิโล
ยังไม่สิ้นเดือนธันวาหมดปลาข้าว
นายทุนห้าวกระหยิ่มยิ้มอยู่อะโห
เตรียมตุนข้าวเขมือบกล้ำคำโตโต
คราพวกโง่ประกาศประกันเดือนกุมภา
เมืองศรีมีที่เขาเรียกว่าสอสอ
แต่ละหน่อล้วนเกลี้ยงกลมคมหนักหนา
โก้เมืองดอยด้อยเมืองกรุงตุงสภา
อนิจจาหน้าที่ทำไร้สำนึก
รอโลกหน้าสบบุญญาประชาราษฎร์
คราศรีอาริย์มาโปรดชาติยามดึกดึก
คงสมปองได้บัณฑิตความคิดลึก
มานิยมสมใจนึกตรึกการเมือง
แต่ชาตินี้น่าสิ้นหวังว่าชีวิต
จักไพจิตรขจรจนคนลือเลื่อง
ผู้นำล่าช้าประชาค่าเปล่าเปลือง
กังวลเคืองขื่นความยากซ้ำซากชา
ขอเพียงได้เลี้ยงชีวิตอย่างคนอยู่
ได้กินขี้ได้ขี่คู่ได้คู้ขา
ได้เดินทางทั่วแผ่นใกล้ไกลโลกา
ภูเก็ตกล้ำมะลายาค้าแรงงาน
เข้าเดือนอ้ายลมแล้งรัวทั่วขัณฑ์เขต
หมอกเช้าหนาดั่งน้ำเนตรเนืองสนาน
ภาพประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุค พ.ศ.2475 เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
บัดถึงคราวคนทิ้งถิ่นดินกันดาร
ทั่วอิสาณหนาวลมเหลียวแห้งเหี่ยวใจ
เหมือนดั่งมีสัญชาตญาณกาลกำหนด
แม้กำสรดต้องกลืนกล้ำน้ำตาไหล
เหมือนพ่อนกโผจากคาสู่ฟ้าไกล
ทิ้งลูกไว้ชะแง้หาตั้งตาคอย
ขอบฟ้าไกลกว้างกว่ากว้างห้วงเวหาสน์
เพียงขุมทองผ่องพิลาสน์สาดฝั่งฝอย
แต่ชีวิตใต้ครอบคาค่าแสนน้อย
เหมือนต่ำต้อยติดดินดาลด่านโลกันต์
ดึกลมลิ่วหวิวหวิ่งหวีดกรีดลำไผ่
เพียงกรุ๋งกริ่งหริ่งเรไรโลมไล้ขวัญ
หม่าวแมวครางแต่แฝกข้างสระฝั่งชัน
ลมยิ่งผันยามดึกเดือนเลื่อนโพยม
แว่วพิณฟ้าพญาว่าวขึ้นสาวเมฆ
ฟังวิเวกลอดผ้าห่มคราวลมโหม
ธนูลมสมสั่งฟ้ามาประโคม
ปลอบประโลมความขื่นแค้นให้แคลนคลาย
ใครเล่าเหลียว เยียวยาไข้ยามได้ยาก
ใครเล่าเหลียว เคี้ยวคำหมากยากจักหมาย
ใครเล่าเหลียว เหลือบหน้าเปื้อนเกลื่อนตาตาย
ใครเล่าเหลียว กองฟอนฟายพิไรลา
ใครเล่าเหลียวเยียวทั่วทุกข์ทวยธเรศน์
ใครเล่าเหลียววนประเวศน์วนาหนา
ใครเล่าเหลียวเยียวอกช้ำคราบน้ำตา
ใครเล่าเหลียวเลี้ยงประชายากยาจน
ใครเล่าเหลียวหลิ่วตาถามยามยากไร้
ใครเล่าเหลียวที่นาไร่ไร้รวงผล
ใครเล่าเหลียวชาวอกแค้นแน่นกมล
ใครเล่าเหลียวความคลั่งท้นทนเพื่อธรรม
ใครเล่าเหลียวเที่ยวทางยากฝากสั่งถ้อย
ใครเล่าเหลียวหน่อยนิดน้อยหน้าขื่นขำ
ใครเล่าเหลียวชื่นอกช้ำกลืนระกำ
ใครเล่าเหลียวรับขวัญคำพร่ำอาทร
ใครเล่าเหลียวเปลี่ยวจิตว้าล้าความคิด
ใครเล่าเหลียวแล้งลูกศิษย์สิ้นครูสอน
ใครเล่าเหลียวอวิชชาสู่ชูนคร
ใครเล่าเหลียวเด็กเร่าร้อนค่อยผ่อนเย็น
ใครเล่าเหลียวชุบชีวาสามารถอาจ
ใครเล่าเหลียวเลี้ยงชีวาตม์หวาดความเข็ญ
ใครเล่าเหลียวปลุกคุณค่าค่าคนเป็น
ใครเล่าเหลียวสองตาเห็นคนเช่นคน
ใครเล่าเหลียวฉ่ำนัยนาดั่งฟ้าหยาด
ใครเล่าเหลียวรักโลมราษฎร์ดั่งธารฝน
โรงเรียนยางบอนคำพานุสรณ์ มีชาวนา คนใจบุญบริจาคที่
ถึง30ไร่ให้รัฐบาล โดยกระทรวงศึกษาธิการ สร้างโรงเรียนขึ้นมา
แต่แล้ว ไม่นานกลายเป็นโรงเรียนร้างเหลือแต่เพียงป้ายชื่อ
และอาคารเรียนที่ทรุดโทรมสลักหักพัง ที่ถูกปล่อยไว้ไร้ประโยชน์
ไร้ผู้ดูแลรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง ภาพถ่ายเมื่อเดือน มีนาคม 2558
โรงเรียนยางบอนคำพานุสรณ์ โรงเรียนร้าง
ใครเล่าเหลียวชื่นอกแท้แด่ทวยชน
ใครเล่าเหลียวศรัทธาท้นท่วมภักดี
ใครเล่าเหลียวเขียวหน้าคร่ำคลำนิ่วหน้า
ใครเล่าเหลียวล้าหลังล้าเฒ่าทาสี
ใครเล่าเหลียวเร่งลบร้ารอยราคี
ใครเล่าเหลียวโซ่ตรวนตีหนี้นายไท
ใครเล่าเหลียวเฉื่อยเชือนชาหน้าแห้งเหือด
ใครเล่าเหลียวเซียวเซียวเลือดโหยหอบไห้
ใครเล่าเหลียวพุงโรเรียวเขียวคราบไคล
ใครเล่าเหลียวเหลืองเหลืองไข้ผ่ายความตรอม ฯ
ภาพประกอบถ่ายจากรพ.อุทุมพรพิสัย เดือน มีนาคม 2558
· ไพบูลย์ ขัณฑเขต
นิพนธ์เมื่อปีพุทธศักราช 2527
เอกสารเผยแผ่อันดับที่ 1 เอกสารเผยแผ่อันดับที่ 2
หลักธรรมและหลัก ดวงกำเนิดและดวงฤกษ์
โหราศาสตร์
เอกหสารเผยแผ่อันดับที่ที่ 3 เอกสารเผยแผ่อันดับที่ที่ 4
สารบาญค้นดวงชะตา บทกวีการเมืองจากวัดพระโตศรีสะเกษ
17,793 ดวงชะตา บทกวียุคใหม่
ภาพ พระครูพุทธิพงศานุวัตร นั่งสมาธิ จำเริญวิปัสสนาญาณ ตลอดคืน ท่ามกลางพุทธบริษัท ผู้ถือศีลจาริณีนุ่งห่มขาวร่วมพันคนในคืนวันที่ 10 เมษายน 2558 ณบริเวณพุทธาภิเษก ด้านในและ บริเวณรอบ ๆ พระมหาวิหารหลวงพ่อโต วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง โดยนั่งบนอาสนะนี้ท่านี้ ม่เปลี่ยนอิริยาบถ นานกว่า 9 ชม. เริ่มเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. คืนวันที่ 10 เม.ย.2558 ถึง 06.00 น. วันรุ่งขึ้น 11 เม.ย. 2558 ภาพนี้ถ่ายเมื่อเวลาประมาณ 04.20 น.วันที่ 11 เม.ย.2558 โดยอาจารย์นิรินธน์ ทองกลม
[=ความรู้แจ้งในความหมายของ "วิปัสสนาญาณ" แห่งพระพุทธศาสนา]
20 .-
เอกสารชุด บทสรุปของชีวิต เมื่ออายุเต็ม 70 ปีของข้าพเจ้า
หมวดที่ 7 กวีนิพนธ์
ชุดที่ 1 บทกวีการเมืองจากวัดพระโต พิมพ์ ณ วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง จ.ศรีสะเกษ
เมื่อวันที่ 15 เมษายน พุทธศักราช 2558
พระครูพุทธิพงศานุวัตร ผจล วัดมหาพุทธาราม ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา