ReadyPlanet.com
dot dot
bulletBUDDHISM to the NEW WORLD ERA
bullet1.Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Luxemberg-ลักเซมเบิร์ก
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet117.Lukanda-ลูกันดา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
bulletMystery World Report รายงานการศึกษาโลกลี้ลับ
bulletสารบาญโหราศาสตร์
bulletหลักโหราศาสตร์ว่าด้วยดวงกำเนิดและดวงฤกษ์รวมคำตอบคลี่คลายปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับการทำนายชะตาชีวิต
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบนี้(เริ่ม ก.พ.55)
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น1
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น 11
bulletทุกความคิดเห็นจากหน้า1(ก่อน ก.พ.55)
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบบอร์ด(ถึงก.พ.55)
bulletภาค 11
bulletภาค 12
bullet54.Hmong ม้ง
bullet133.แอลเบเนีย
bullet133.แอลเบเนีย
bulletหน้าที่เก็บไว้




กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 3

 

 เพื่อ ประชาธิปไตย เท่านั้น ภาค 3

 

 

 ความเห็นที่ 45

 
เราเสียเวลาไป 6 วันครับ (19-24 มิ.ย.2558)  เราโดนฟ้าผ่าครับ  TP-LINK พัง  
มาดำเนินการต่อครับ   เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 3 ไปเลย             
ครับ ฉายภาพลูกโลกอีกครั้งก่อน
 

 

มาทบทวนเรื่องโลกแบนกันอีกสักนิดนะครับ  เรื่องโลก การสร้างโลกนี้  ชัดเจนมากว่าใครเป็นคนสร้าง และ สร้างขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพียง 7 วันเท่านั้นเอง ก็มีโลก มีมนุษย์ มีสัตว์ มีพืช  ครบอย่างโลกปัจจุบันเราทุกอย่าง    และเรื่องนี้ ต่อมามีศาสนาอิสลาม  คัมภีร์ศาสนานี้ คือ  พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ก็ให้การรับรองเลยว่าโลกที่พระเจ้าสร้าง ตามไบเบิลว่าไว้นั้น  ถูกต้องแล้ว  แต่อิสลามอ้างพระเจ้าอีกองค์ คือ  พระอัลเลาะห์  ว่าเป็นผู้สร้างโลกแบนใบนั้น  มีตอนที่เกี่ยวกับการสร้างคนของ  พระเจ้าอัลเลาะห์  ว่าดังนี้ครับ  

<<<.....โอ้อาดัม เจ้าและภรรยาของเจ้าชื่อฮาวาอ์นางถูกกำเนิดจากซี่โครงด้านซ้ายของอาดัมจงพำนักอยู่ในสวรรค์และเจ้าทั้งสองจงกินของในนั้นได้อย่างอุดมสมบูรณ์ และไม่หวงห้ามตามที่เจ้าทั้งสองต้องการ แต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้นี้ เพื่อเจ้าทั้งสองจะไม่ได้เป็นพวกทรยศ............เจ้าทั้งสอง จงลงไปอยู่หน้าแผ่นดิน พร้อมกับมีน้ำอสุจิในตัวของเจ้าทั้งสอง ซึ่งจะได้สืบพันธุ์กันต่อไป..... >>> [พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย ส่วนที่ 1 บทที่ 1 อัล-บะก็เราะห์ วรรคที่ 35-36 หน้า 17-18]

 ซึ่งจะเห็นว่า ตรงกับเรื่องราวที่ไบเบิล รจนาเอาไว้ก่อนแล้ว  ดังนี้ครับ มีพระวาทะว่า

<<<......., but for the man himself there was found no suitable helper. So the Lord caused the deep sleep to overcome Adam, and as he slept He took one of his ribs and filled up the place with flesh. From the rib He had taken from the man, God formed a woman and brought her to the man. Adam said....... >>>[BIBLE GENESIS 2/20-23]

<<< แต่ชายนั้นยังหามีคู่อุปถัมภ์ที่สมกับตนไม่  แล้วพระเจ้าจึงทรงกระทำให้ชายนั้นหลับสนิทอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูกอย่างเดิม  ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้นพระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น  อาดัมจึงว่า.........>>>

 จะเห็นนะครับว่า  ไบเบิล ตั้งชื่อชายคนแรกของโลก กับหญิงคนแรกของโลกว่า  Adam  กับ  Eve  โดย อีวา นั้นแท้จริงเป็นซื่โครงของอาดัมซี่หนึ่ง

ส่วนอัลกุรอาน  ตั้งชื่อตามไบเบิล  โดยตั้งชื่อชายว่า  อาดัม เหมือนกัน  แต่ชื่อหญิงตั้งว่า  ฮาวาอ์ เกิดจากซี่โครงของอาดัมเหมือนกัน   ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานของชาวอิสลามนี้  ก็ตั้งชื่อพระเยซู  เล่าเรื่องพระเยซูอย่างละเอียด พอ ๆ กับที่มีเล่าไว้ในไบเบิลเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ตั้งชื่อพระเยซูว่า อีซา   เป็นนะบี นะบีอีชา  ศาสนายะฮุดี (ศาสนาคริสต์) .........   และเล่าว่าพระเยซูแท้จริงเป็นเทวดาอยู่สวรรค์ชั้นล่าง ๆ   ไม่ได้นั่งบนโซฟาตัวเดียวกับพระเจ้า เป็นบุตรสุดที่รักของพระเจ้า หรือเป็นพระเจ้า  ตามที่ไบเบิลเล่าไว้

ก็จะเห็นนะครับว่า  ยะโฮวา  กับ   อัลเลาะห์   เป็นพระเจ้า ของคนสองพวก    แต่พระเจ้าทั้ง 2 องค์นี้  ก็ทรงสร้างโลกแบนเหมือนกัน   สร้างคน ๆ แรก  หญิงคนแรก  เหมือนกัน     ซึ่งไม่น่าจะเป็นโลกใบที่มนุษย์เราอยู่กันทุกวันนี้  และคน  ก็ไม่น่าจะเป้นคนอย่างมนุษย์ทุกวันนี้    เพราะโลกนี้เป็นโลกที่มีสัณฐานกลม และผู้หญิงก็เป็นคน  ที่เกิดจากการเป็นไปตามธรรมชาติ   ไม่ได้เกิดจากซี่โครงของผู้ชายแต่อย่างใด 

 

ผมว่ามา   จริงไหมครับ ? 

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น  ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
    วันที่ 25 มิถุนายน 2558  21.13 น.

 

 

 

 ความเห็นที่ 46 

 

ดูภาพต่อไปนี้นะครับ  เรื่องพระเจ้า 2 พระองค์ คือ  ยะโฮวาห์  ของชาวคริสต์  กับ  อัลเลาะห์  ของชาวมุสลิม  นี้  ท่านคิดว่าอย่างไร ?

ทางเรามองว่า   นี่เป็นประเด็นนะครับ  นักการเมืองจำเป็นจะต้องเข้าใจให้ดี 

 

 นะบี มุฮัมมัด  Muhammad 
ทรงรู้หมดว่า ไบเบิล พูดถึงพระเยซูอย่างไร

ตอนเติบโตเป็นวัยรุ่น ท่านเป็นลูกจ้างค้าขายกับเศรษฐินี คอดีญะฮฺ ท่านมุฮัมมัดมีความซื่อสัตย์ มีใจเมตตาและมีความจริงใจ นายจ้างของท่านจึงได้ขอแต่งงานกับท่านในเวลาต่อมา ท่านได้รับ วะฮฺยู (การวิวรณ์–Revelation) หรือการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าในถ้ำฮิรออ์ ขณะอายุ 40 ปี จากนั้นท่านจึงประกาศอิสลามอย่างลับ ๆ อยู่ 3 ปี โดยเริ่มประกาศแก่ญาติและคนใกล้ชิด

  •   ผู้แสดงความคิดเห็น  ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
    วันที่ 27 มถุนายน 2558  13.39 น.

 

 

 

  ความคิดเห็นที่ 47

และนี่คือภาพพระเยซู  ไม่ใช่ภาพจริงนะครับ เป็นภาพจากภาพยนต์ ซึ่งนักแสดงได้แสดงอย่างสมกับเป็นพระเยซูจริง ๆ ชื่อภาพว่า Jesus of Nazareth

 

พระเยซูแห่งเมืองนาซาเรธ Jesus of Nazareth
ทรงเลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว
ทรงแหงนพระพักรขึ้นดูฟ้าสวรรค์ แล้วแจกขนมปัง เขาได้กินอิ่มทุกคน  
 

 

ตามพระคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะ 2 เล่มนี้คือ Mathew และ John  พระเยซู ก่อนที่จะเดินทางเข้าไปสู่เยรูซาเล็มและโดนจับพระองค์ไป  ได้ทรงแสดงอภินิหารย์ ที่ปรากฎแด่ประชาชนเยรูซาเล็ม ถึง 21 ครั้ง  ดังนี้

 ครั้งที่ 1.  ทรงรักษาคนโรคเรื้อนให้หาย   โดยทรงลูบหัวคนที่เป้นโรคเรื้อนเท่านั้น คนนั้นก็หาย  [Mathew 8/2-3]


ครั้งที่ 2.  ทรงรักษาคนเป็นง่อยให้หาย  โดยทรงตรัสให้เขาเดินกลับบ้าน เท่านั้น คนง่อยก็เดินไปได้   [Mathew 8/13]


ครั้งที่ 3.  ทรงรักษาไข้ของแม่ยายเปโตร อัครสาวก โดยทรงจับมือนาง ๆ ก็หาย   [Mathew 8/14-15]


ครั้งที่ 4.  ทรงห้ามพายุใหญ่ให้หยุดลงได้  ขณะเสด็จไปทางเรือในทะเลสาป โดยทรงลุกขึ้นโบกมือ พายุก็สงบลง  [Mathew 8/26-27]


ครั้งที่ 5.  ทรงขับผีออกจากคน2คนไปเข้าฝูงสุกร โดยทรงตรัสว่า "ไปให้พ้น" ผีเหล่านั้นก็เข้าไปสิงในหมู่สุกรและพากันวิ่งลงเหวตายไป [Mathew 8/28-34]


คร้งที่ 6  ทรงรักษาคนง่อย เพียงตรัสว่า "จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด" คนง่อยก็ลุกเดินไปได้  [Mathew 9/6-8]


ครั้งที่ 7 ทรงรักษาหญิงเป็นโรคตกโลหิตมา12ปีแล้ว  โดยที่หญิงนั้นแตะฉลองพระองค์ของพระองค์ ก็หาย  [Mathew 9/20-22]


ครั้งที่ 8 ทรงรักษาเด็กหญิงตายให้ฟื้น ทรงขึ้นไปบนเรือนและจับมือเด็กหญิง ๆ นั้นก็ลุกขึ้น คืนชีวิต  [Mathew 9/18-19,23-26]


ครั้งที่ 9  ทรงรักษาคนตาบอดสองคนหายบอด โดยทรงถามว่าเขาเชื่อหรือ เขาตอบว่าเชื่อ ก็ทรงถูกต้องนัยตาเขา ๆ ก็มองเห็น  [Mathew 9/28-30]


ครั้งที่ 10 ทรงรักษาคนใบ้ให้พูดได้  โดยทรงขับผีที่สิงคนใบ้อยู่ คนใบ้ก็พูดได้เหมือนเดิม  [Mathew 9/32-34]

  •  ผู้แสดงความคิดเห็น  ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
    วันที่ 27 มิถุนายน 2558  16.12 น.


 
ความคิดเห็นที่ 48 

ครั้งที่ 11  ทรงรักษาชายมือลีบในวันสบาโต โดยทรงตรัสกับเขาว่า "จงเหยียดมือออกเถิด" มือนั้นก็หายเป็นปกติ  [Mathew 9:10/12-13]

ครั้งที่ 12  ทรงเลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว ทรงแหงนพระพักรขึ้นดูฟ้าสวรรค์ แล้วแจกขนมปัง เขาได้กินอิ่มทุกคน   [Mathew 14/17-21]

ครั้งที่ 13  ทรงดำเนินบนทะเล  และให้สาวก เปโตรเดินบนน้ำได้ด้วย เขาทั้งหลายจึงมาหมอบกราบพระองค์พูดว่า "พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงแล้ว"  [Mathew 14/24-33]

ครั้งที่ 14  ทรงรักษาคนป่วยที่เยนเนซาเรท โดยทรงให้แตะต้องฉลองพระองค์ ผู้ใดได้แตะต้องฉลองพระองค์ก็หายป่วยบริบูรณ์ดีทุกคน  [Mathew 14/24-36]

ครั้งที่ 15  ทรงรักษาคนป่วยโรคต่าง ๆ หายหมด ที่ฝั่งทะเลสาปกาลิลี มีคนง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนใบ้ และคนเจ็บอื่น ๆ ทรงรักษาหายหมด คนสรรเสริญว่า พระองค์เป็นพระเจ้าของชนชาติอิสราเอล (And they glorified the God of Israel)   [Mathew 15/29-31]

ครั้งที่ 16  ทรงให้สาวกแจกขนมปังเจ็ดก้อนและปลาเล็ก ๆ สองสามตัวแด่คนทั้งปวงที่มารักษาตัวมีผู้ชายสี่พันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็กได้กินอิ่มทุกคน ที่ฝั่งทะเลสาปกาลิลีนั้น  [Mathew 9/32-34]

ครั้งที่ 17  ทรงจำแลงกายต่อหน้าสาวก  โมเสส และ อาลียาห์ ก็มาปรากฎแด่พวกสาวกเหล่านั้น   แล้วมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก จงเชื่อฟังท่านเถิด (This is My beloved Son, in whom I am delighted; Listen to Him)  [Mathew 17/1-15]

ครั้งที่ 18  ทรงรักษาเด็กผีสิง  โดยพระเยซูตรัสสำทับผีนั้น มันก็ออกจากเขา ทรงบอกสาวกว่า "ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า "จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น" มันก็จะเลื่อน สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ท่านทำไม่ได้จะไม่มีเลย"   [Mathew 17/14-18]

ครั้งที่ 19  ทรงรักษาคนตาบอดสองคน  ก็ทรงถูกต้องนัยตาเขาในทันใดนั้นตาของเขาก็เห็นได้   [Mathew 20/33-34]

ครั้งที่ 20  ทรงสาปต้นมะเดื่อ เพราะทรงหิวพระกระยาหาร และต้นมะเดื่อไม่มีผลมีแต่ใบเท่านั้น ก็ทรงพิโรธตรัสว่า "เจ้าจงอย่าผลิตผลอีกต่อไป ทันใดต้นมะเดื่อก็เหี่ยวแห้งไป  [Mathew 21/18-22]

ครั้งที่ 21  ทรงเรียกลาซารัสฟื้นจากความตาย (มีเล่าไว้แห่งเดียวใน ยอห์น 11/38-44 เล่มอื่นแม้ Matthew ที่เล่ามาทุกเรื่องของพระองค์ก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ )  ทรงเรียกลาซารัสว่า  "ลาซารัสเอ๋ย ออกมาเถิด"  ลาซารัสซึ่งตายไป 4 วันจนออกกลิ่นเหม็นแล้ว ก็ออกมาจากอุโมงค์ที่ฝังศพ พระเยซูตรัสว่า "จงแก้ผ้าที่พันออกเสีย แล้วปล่อยเขาเถิด   [John 11/38-44] 

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น  ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
    วันที่ 27 มิถุนายน 2558  17.15 น.

 

 

 


 ความคิดเห็นที่ 49 

 
ผมขอแทรก ดร.ฆิกเมฆตรงนี้หน่อยนะครับ  เป็นคำถามครับว่า  เราจะพอสรุปกันเลยได้ไหมว่า  เรื่องราวการสร้างโลก ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล เยเนสิส  ว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกโดยการเนรมิตร สร้างเสร็จไปทีละวัน ๆ ตั้งแต่สร้างแผ่นดิน ผืนน้ำ ขึ้นมา สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว  แล้วสร้างสัตว์ พืช ที่เป็นอาหารมนุษย์ทั้งปวง  ไปจบลงตอนสร้างมนุษย์คนแรก อาดัม กับ เอวา ขึ้นมา  ใช้เวลาสร้างเพียง 6 วันก็เสร็จ  วันที่  7 พระเจ้าทรงพักผ่อนเพราะทรงเหน็ดเหนื่อยมากทีเดียว 7 วันเท่านั้นเอง 
 
แล้ว ต่อมาอีก 600 ปี  มีศาสนาอิสลาม ท่านนบีมุฮัมมัดก็รับรองว่าเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิล เป็นเรื่องที่ถูกต้อง   นั้นก็เท่ากับว่า  พระคัมภีร์ทั้งสองนั้นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกในลักษณะของการกล่าวความเท็จ คือเรื่องไม่จริง ที่โกหก  และหรือเป็นการโกหกด้วยความไม่รู้  โง่เขลา อวิชชา ไปเลยทีเดียว
 
เพราะโลกที่พระเจ้าทั้ง 2 องค์คือ  ยะโฮวาห์ แห่งศาสนาคริสต์  กับ  อัลเลาะห์  แห่งศาสนาอิสลามสร้างนั้น  เป็นโลกแบน และมีการกำเนิดขึ้นด้วยลมปากของพระเจ้าแท้ ๆ เหมือนนิทานก่อนนอน แม่เล่าให้ลูกเล็ก ๆ ฟัง
 
 
 
 
 

"Big Al" at Museum of the Rockies 
บิ๊กแอล กำเนิดใหม่ เจ้าไดโนเสา นี่คือยุคจูราสสิค 145 ล้านปี

 

 
 
แต่โลกจริง ๆ ที่เราอยู่เป็นโลกกลม  ดูประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาก็แล้วกัน  ไทยอยู่อีกแผ่นดินหนึ่ง  สหรัฐอยู่อีกด้านตรงกันข้ามไปเลย    ขณะที่ไทยสว่าง เป็นกลางวัน  สหรัฐอเมริกามืด เป็นกลางคืน ก็เพราะโลกกลม 
 
และอีกอย่างหนึ่ง  ต่อมา  ก็มีบาทหลวงผู้หนึ่ง คือ  ในปี ค.ศ. 1657 (พ.ศ.2200)  ท่าน อาร์ชบิชอบ เจมส์ อุชเชอร์ ประกาศว่าโลกของเราถือกำเนิดขึ้นเมื่อเวลา 9.00 น. ในวันที่ 26 ตุลาคม เมื่อ 4,004 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเมื่อนับมาถึงปีนี้ ค.ศ.2015(.ศ.2558) โลกเราก็จะมีอายุเพียง  6,019 ปีเท่านั้นเอง  เห็นได้ว่า ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอบ เจมส์ อุชเชอร์  ท่านเชื่อในเรื่องเนรมิตสร้างโลกจริง ๆ ไม่งั้นท่านคงไม่อาจจะกำหนดได้หรอกว่า เวลา 9.00 น. วันที่ 26 เดือน ตุลาคม 4,004 ปีก่อนคริสต์ศักราช โลกแบนใบนั้นได้ถูกเนรมิตรขึ้น และท่านก็นับปีเอาจากเรื่องราวในเยเนซิส นั่นเอง  โดยนับจากวันที่มีมนุษย์ชาย-หญิงคู่แรกคือ อาดัม-เอวา ในสวน
 
ก็นับปีจากนั้น   ในไบเบิลก็จะรายงานไปจากนั้นว่ามีมนุษย์ขยายเผ่าพันธ์ออกไปอย่างไร  จนเกิดเป็นเมือง ประเทศ มีกษัตริย์  ไบเบิลก็จะลำดับสกุลและวงศ์กษัตริย์ไปเรื่อย ๆ  นับตั้งแต่ GENESIS 4 ว่า 
 
<<< ADAM knew his wife Eve. She conceived and bore Cain. ……Next she gave birth to his brother Abel. Abel became a herder of flocks and Cain a tiller of the soil. >>> [GENESIS 4/1-2]
 
[ฝ่ายอาดัมนั้นก็สมสู่อยู่กับเอวาภรรยาของตน นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายชื่อคาอิน............ ต่อมานางก็ให้กำเนิดน้องของเขาชื่ออาแบล อาแบลเป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนคาอินเป็นคนทำไร่ไถนา
 
 
 
 
 

BBC A WALKING WITH DINOSAURS
THE BALLAD OF BIG AL บิ๊กแอลตายไปเมื่อ 145 ล้านปีเกิดใหม่อีกหน

 

 
 
 
เยเนซิส 4 ก็จะรายงานต่อไปว่าเผ่าพันธุ์ขยายออกไปอย่างไร จากคาอินกับอาแบล พี่น้อง บุตรชายของอาดัม-เอวา เกิดตามกันมา จนกระทั่งอาดัมมีอายุได้ 130 ปี ก็ได้บุตรชายอีกคนหนึ่งชื่อเสท ไปสู่เชื้อสายของเสท “ตั้งแต่อาดัมมีบุตรคือเสทแล้ว ก็มีอายุอีก800ปี มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน รวมอายุของอาดัมได้ 930 ปีจึงสิ้นชีวิต”(เยเนซิส 4/4-5)
 
แล้วไบเบิลก็รายงานมาเรื่อย ๆ จากเสท เชื้อสายของเสทมา ว่าเสทมีอายุ 912 ปีจึงตาย มีบุตรชายชื่อเอโนช ๆ มีอายุ 905 ปีตาย เอโนชมีบุตรชื่อเคนัน ๆ มีชีวิต 910 ปีตาย
 
ก็มาถึง มาหะลาเลส   895 ปีตาย
ยาเรด       962 ปีตาย
เอโนค พออายุได้ 365 ปีได้หายหน้าไปจากบ้านเมืองไปกับพระเจ้า ไม่ทราบว่าตายเมื่อไร
เมธุเสลาห์      965 ปีตาย
ลาเมค อยู่มาได้ 180 ปีมีบุตรชายตั้งชื่อว่า โนอาห์  ลาเมคอยู่ได้ 777 ปีตาย    
 
มาถึงโนอาห์นี่เองที่พระเจ้าเบื่อโลกที่ทรงสร้างมา จึงบอกโนอาห์ให้ทำเรือใหญ่ แล้วให้คน สัตว์ขึ้นไปอยู่ในเรือเป็นคู่ ๆ แล้วพระเจ้าก็บันดาลให้น้ำท่วมโลก โดยท่วมสูงกว่ายอดภูเขาหิมาลัยไปถึง 15 ศอก และท่วมนานถึง 40 วัน คนและพืช สัตว์ทุกตัวตนตายหมด ไม่มีเหลือ พอน้ำลดหน้าดินก็เป็นโคลนไปหมด
 
พอหลังน้ำท่วม ยุคน้ำท่วมโลก  เมื่อโนอาห์ กับพวกที่รอดจากน้ำท่วมโลกเริ่มตั้งรกรากเป็นสังคมมนุษย์ ผายแผ่เผ่าพันธ์ออกไป เพราะพระเจ้าทรงเมตตาแล้ว พระองค์สงสารมนุษย์ที่พระองค์เองทรงพิโรธแล้วให้น้ำท่วมคนสัตว์พืชอยู่ 40 วันจนตายหมดโลก ก็บอกโนอาห์ว่าเราจะไม่ทำร้ายมนุษย์อีกต่อไป  ก็มีรายงานต่อ คราวนี้เกิดเป็นเมือง หรือ อาณาจักรขึ้นมา
 
“อาณาจักรแรก ๆ ของนิมโรดนั้น คือเมืองบาบิโลน เมืองเอเรก และเมืองอัคคัด เมืองทั้งสามนี้อยู่ในแผ่นดินซินาร์...” (เยเนซิส 4/10)
 
 
 
 
 

บิ๊กแอล กำเนิดใหม่จ้าวไดโนเสาร์ หลังตายไป 145 ล้านปี

 

 
 

ไบเบิลก็รายงานวงศ์กษัตริย์ต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้ครับ จนที่สุดไปถึงวงศ์อิสราเอล ถึงแผ่นดินฟาโรห์ แห่งอียิปต์ อาร์ชบิชอบท่านนั้นจึงสามารถรวมตัวเลขและสรุปได้ว่า โลกของเราถือกำเนิดขึ้นเมื่อเวลา 9.00 น. ในวันที่ 26 ตุลาคม เมื่อ 4,004 ปีก่อนคริสต์ศักราช  คือไม่ได้เกิดจากการใช้วิชาดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อย่างกาลิเลโอเลย เชื่อตามบันทึกในพระคัมภีร์เยเนซิส แท้ ๆ 
 
ซึ่งมันไม่ถูกไงครับ และไม่ถูกแบบไร้เหตุผลที่สุดเลย (จนไม่น่าคิดว่าเป็นสติปัญญาของพระเจ้า) เพราะนักวิทยาศาสตร์ยุคนี้เขาสามารถใช้วิชาวิทยาศาสตร์วัดอายุโลกได้และเขาบอกอายุโลกไว่ว่าอย่างนี้ครับ
 
 <<<The age of the Earth is 4.54 ± 0.05 billion years (4.54 × 109 years ± 1%).[1][2][3] This age is based on evidence from radiometric age dating of meteorite material and is consistent with the radiometric ages of the oldest-known terrestrial and lunarsamples.>>>
 
<<< เรารู้ว่าความจริงแล้วโลกมีอายุเก่าแก่ถึง 4.6 พันล้านปีซึ่งตัวเลขนี้ได้มาจากการตรวจสอบอายุหินเก่าแก่ที่พบในพื้นที่กันดาร ห่างไกลอย่างเช่นที่ กรีนแลนด์ รวมทั้งจากการวัดอายุของหินดวงจันทร์และอุกกาบาตด้วย >>>
4.6 พันล้านปี ไม่ใช่แค่ 6พันปีตามไบเบิล หรือคำพระเจ้า2พระองค์ว่าไว้
 
ขอแทรกเท่านี้แหละครับ 
 
อ้อ  มีอีกอย่างครับ ไบเบิลว่าพระเจ้าดลบันดาลให้น้ำท่วมโลกโดยเจตนาอย่างยิ่ง จนน้ำท่วมสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุด(ก็หิมาลัยแหละครับ)ไปถึง 15 ฟุต และท่วมนานถึง 40 วัน  คนในโลกก็ตายหมดโลก สัตว์ทุกชนิด พืชผักพันธ์ไม้ทุกชนิดตายหมดโลก พอน้ำลดเห็นมีแต่ตมปูหน้าแผ่นดินทั้งหมด   นี้ก็คือพระเจ้าเป็นฆาตกรตัวจริง เป็นปีศาจ มารร้าย  ไม่ใช่พระเจ้าอะไรเลย คนตายมากกว่าปรมาณูถล่มฮิโรชิมา-นางาซากิเสียอีก  แล้วจะนับถือว่าเป็นพระเจ้าได้อย่างไร ???
 
การฆ่าคนเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่แล้วนะครับ  ต้องเอาพระเจ้ายะโฮวาห์มาลงโทษตามกฎหมายมนุษย์
 
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชบาบุญเสฏฐ์ 
    วันที่ 28 มิถุนายน 2558 15.20 น.
     


 ความคิดเห็นที่ 50

ขอแทรก  ในเรื่องอภินิหาริย์ 21 ครั้งของพระเยซู  ครั้งที่ 21 เรียกลาซารัส [Lazarus] คนตายไปแล้ว 4 วันออกมาจากถ้ำที่ฝังศพนั้น  มีนักวิจัยยุคใหม่ศึกษาออกมาว่า อภินิหาริย์ข้อสุดท้ายนี้มีเขียนใน ยอห์น เล่มเดียว  เล่มอื่นคือ แมทธิว  มาระโก  และ ลูกา ซึ่งเป็นพระคัมภีร์หลัก 3 เล่ม  ไม่มีรายงานเลย  พบว่าเขียนขึ้นหลังมาถึง 100 ปี หลังพระเยซูฟื้นคืนชีพ[Resurection] ลอยขึ้นฟากฟ้าไปสู่สวรรค์ ตามที่ไบเบิลบันทึกไว้    จึงไม่น่าเชื่อถือ 

แต่กระนั้น อัลกุรอานของ อิสลามก็รับรองว่าเป็นเรื่องจริง  โดยอัลกุรอานว่า ชาม บุตรของ นูห์ หรือตามไบเบิลว่า  ลาซารัส นั้น  ฟื้นขึ้นมา  ในไบเบิลไม่ได้รายงานต่อว่า เมื่อทรงสั่งให้เอาผ้าห่อศพออกจากตัวเขาแล้วให้เขาไป โดยวาทะสิ้นสุดลงที่ว่า  "จงแก้ผ้าที่พันออกเสีย แล้วปล่อยเขาเถิด"  ก็จบลงแค่นั้น ไม่มีรายงานต่อว่าลาซารัสไปอย่างไร หรือเป็นอะไรหรือไม่  แต่มุฮัมมัดรู้ดี  จนบอกว่า ลาซารัสฟื้นขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้นก็ตายกลับไปอีก  และยังรู้ด้วยว่าพระเยซูทำได้อย่างไร  โดยบอกว่า  พระเยซูได้รับพระกรุณาจากพระองค์พระเจ้าอัลเลาะห์ให้คาถาไว้   พระเยซูเสกใส่ศพลาซารัส คนตาย ๆ จึงฟื้น  และมุฮำมัดรู้คาถาด้วย    นี่คือคาถาว่า "โอ้องค์นิรันดร โอ้องค์ดำรงเอง"   พระเยซูว่าคาถาของอัลเลาะห์นี้  เสกใส่ศพลาซารัส จึงทำให้ลาซารัสฟื้นได้ [ดูสิ   มุฮัมมัดรู้เกินพระคัมภีร์ต้นเรื่องเขาไปอีกแน่ะ.....นี่แหละสุดยอดละ...คนอิสลามก็ต้องคิดอย่างนี้ ......  มุฮำมัดรู้ดีกว่าไบเบิลอีกนะว่า ซี่โครงที่เอาออกมาจากอาดัมนั้น เป็นซี่โครงด้านไหน......เพราะไบเบิลไม่บอกว่าซี่โครงด้านไหน บอกแต่ว่าซี่โครงหนึ่งซี่   แต่มุฮำมัดรู้ดี รู้ละเอียดกว่า  รู้หมดว่าพระเจ้ายะโฮวาห์ทำอะไรก็เห็นหมด   แน๋ะ ! เลยบอกว่า ซี่โครงด้านซ้ายของอาดัม แน๋ะ !  แต่เมื่อถูกถามว่า ทำอภินิหาริย์ได้อย่างพระเยซูหรือไม่  เงียบกริบ  ลูกหนีเข้าห้องไปเลย] 

 

 

JESUS
ทรงแสดงอภินิหาริย์ไม่ออกในช่วงเวลาคับขันที่สุดของชีวิตของพระองค์เอง

 

 พระเยซู สร้างอภินิหารย์ไม่ออก ใน 2 เรื่องใหญ่ที่สุดก่อนจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ก็คือ 

(1.)  ทรงประกาศต่อหน้าชาวเมืองที่มหาวิหารว่า <<< Destroy the temple and in three days I will rebuild it. >>>[John 2/19] [จงทำลายวิหารนี้เสีย และเราจะยกขึ้นใน 3 วัน]   แต่พระองค์ทรงทำไม่ได้

(2)  เมื่อถูกตรึงกางเขนแล้ว ทรงแสดงอภินิหารย์ช่วยพระองค์เองให้รอดชีวิตไม่ได้อีก จนก่อนจะสิ้นพระชนม์ ทรงตะโกนคำสุดท้ายว่าพระบิดาพระเจ้าของพระองค์ว่า <<< Eli, Eli, Lama sbachthani >>> [Mathew 27/46  Mark 15/33] [ พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย ] 

 

เรื่องโลกแบน  มาฟังพระเจ้าอัลเลาะห์ ตรัสถึงเรื่องบางเรื่องแล้วก็น่าฉงนเหมือนกัน ว่าพระองค์ทรงคิดอย่างไร?

1.   พระองค์ตรัสว่า  ทรงสร้างมนุษย์จากอสุจิ  ดังปรากฎในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานว่า


<<< พระองค์อัลเลาะห์ทรงให้สิ่งมีชีวิตออกมาจากสิ่งไร้ชีวิต  เช่นมนุษย์ออกมาจากหยดอสุจิ และ นกออกมาจากไข่  เป็นต้น  ทรงให้สิ่งไร้ชีวิตออกมาจากสิ่งมีชีวิต เช่น อสุจิ ออกมาจากมนุษย์และไข่ออกมาจากไก่ >>> (วรรคที่ 19  บทบที่ 29 ส่วนที่ 21 หน้า 1895)

 

2.  เรื่องฝนตก  ก็ว่าองค์อัลเลาะห์ทำให้ฝนตก ดังวาทะว่า


<<< พระองค์ทรงหลั่งจากท้องฟ้าซึ่งน้ำฝน >>> (วรรคที่ 24 บทที่ 29 ส่วนที่ 21 หน้า 1915)

 

VENUS
ดาวพระเคราะห์ศุกร กลางห้วงอวกาศอันไร้ขอบเขต ที่มองเห็นจากกล้องดูดาวของนักดาราศาสตร์

 

 3.  ทรงสร้างสิ่งประหลาดขึ้นคือท้องฟ้า ที่ประหลาดเพราะไม่มีเสา ดังวาทะว่า
<<< พระองค์ทรงบรรดาลฟากฟ้าโดยปราศจากเสา >>> (วรรคที่ 10 บทที่ 30 ส่วนที่ 21 หน้า 1915) 

4.   อัลเลาะห์ทรงรอบรู้แม้ทารกในครรภ์ของสตรีก็ทรงบอกได้ว่าเป็นชายหรือเป็นหญิง  ดังวาทะว่า
<<< ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในมดลูกว่าเป็นชายหรือเป็นหญิง ซึ่งสิ่งเหล่านั้ไม่มีผู้ใดทราบอย่างชัดเจนได้เลย นอกจากอัลเลาะห์เพียงองค์เดียว >>> (บทที่ 30 วรรคที่ 34 ส่วนที่ 21 หน้า 1926)  

คือมุฮำมัด ต้องการให้ชาวมุสลิมเชื่อในพระองค์อัลเลาะห์ ว่าทรงมีสติปัญญา หาใครเสมอเหมือนไม่ได้  ทรงเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งอย่างแท้จริง 

ในข้อ 2 พระองค์ทรงหลั่งจากท้องฟ้าซึ่งน้ำฝน .......   ทางวิทยาศาสตร์เขารู้ว่ามันเป็นธรรมชาติ  มีพระองค์อัลเลาะห์หรือไม่มีฝนมันก็ตกของมัน   เพราะเกิดวงจร  แดดทำให้น้ำทะเลระเหยขึ้นไปบนท้องฟ้า  มันรวมกันเป็นก้อนเมฆ  ลอยไป  มองดูบนท้องฟ้าเป็นเมฆ   พอมันใหญ่ขึ้นมันก็ลดต่ำลงมา  โดนความร้อน  ก็ละลายเป็นฝน  ๆ ก็ตก 

แต่ข้อ 3 และ ข้อ 4 นั้น  ที่ว่าพระองค์ทรงสร้างฟ้าโดยปราศจากเสานั้น  ก็แสดงว่าพระองค์มองโลกแบนเหมือนจานข้าว  และแผ่นดินเหมือนบ้านหลังหนึ่งที่ต้องมีหลังคากันแดดกันฝนนั่นเอง  และหลังคาบ้านทั่วไปก็ต้องมีเสาค้ำยันเอาไว้  จึงจะอยู่มุงบ้านได้   แต่หลังคาโลกนั้น ทรงสร้างมันขึ้นมาได้อย่างพิเศษ เพราะไม่ต้องมีเสา มันก็อยู่มุงโลกไว้ได้  เหมือนหลังคาเรือนขนาดใหญ่  มุงได้โดยไม่ต้องมีเสาค้ำยัน   ........   คือ ที่จริง  พระองค์ แม้จะทรงสร้างโลกแบน ๆ มาก็ไม่ทรงทราบอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ หรือคนทั่วไปยุคนี้ทราบ  ว่าท้องฟ้าก็คือท้องฟ้า นั่นไม่ใช่หลังคา  ไม่ใช่วัตถุสิ่งของเลย  แต่เป็นห้วงอากาศ ห้วงอวกาศใหญ่ ที่ไร้ขอบเขต มันอยู่อย่างนั้นของมันเองมานับ พัน ๆ ล้านปีแล้ว  ไม่ต้องมีอะไรมาค้ำยันมัน เพราะมันเป็นห้วงอากาศที่ว่างเปล่า มีอัลเลาะห์หรือไม่มีอัลเลาะห์มันก็เป็นเช่นนี้  และมันไม่ได้มุงโลก อย่างที่มุฮำมัดเห็น  แต่โลกเรานี้อยู่ในห้วงอวกาศที่ใหญ่โตไร้ขอบเขต เมื่อมองออกไปก็เหมือนมีหลังคา แต่คนฉลาดเขารู้ว่ามันไม่ใช่หลังคา  ไม่ต้องไปสร้างเสาค้ำยันมันแอยู่อย่างนั้น นั่นต่างหาก

ในข้อที่ 4 ก็เหมือนกัน  อัลเลาะห์ไม่รู้เรื่องแพทยศาสตร์อะไรเลย  แพทย์ยุคนี้เขารู้กันหมดแหละ พอตั้งท้องขึ้นมาเขาก็เอาเครื่องมือไปวัด  ก็รู้ได้เลยว่าลูกในท้องเป็นชายหรือเป็นหญิง  เป็นเรื่องง่าย ๆ มากเลย    และรู้อย่างไม่ผิดพลาด 100 % ไปเลย  มีร้อยมีพันท้องก็รู้ชัดทั้งร้อยทั้งพันท้องว่ามีบุตรชายหรือหญิง แต่ศาสดาอิสลาม มุฮำมัดก็บอกโฆษณาไปว่าพระอัลเลาะห์รู้คนเดียว เพราะทรงปัญญารอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง  คนอื่นรู้ไม่ได้   อ้าว  ไปถามเด็ก ป. 4 ยุคนี้มันรู้หมดแหละ รู้มากกว่าอัลเลาะห์-มุฮัมมัดเยอะเลย   

อัลเลาะห์ ยังมีอะไรบีองส์ ๆ อยู่อีกเยอะนะครับ ในอัลกุรอาน  ว่าง ๆ จะลอกมาให้ดู  วันนี้ขอลงด้วยพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานวรรคสุดท้าย ที่คล้ายเป็นคำสั่ง หรือที่ทางศาสนาพุทธว่าปัจฉิมโอวาท  ดังนี้ครับ

<<< โอ้อัลเลาะห์  ขอพระองค์ได้ทวีเจตนา  ซึ่งหนทางไปสู่ศาสนาอิสลามแก่บรรดาข้าพระองค์  ซึ่งแนวทางเที่ยงตรง

ได้แก่แนวนำแห่งศาสนาของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้โปรดประทานพระกรุณาธิคุณแก่พวกเหล่านั้น  ให้ไปสู่ศาสนาอิสลาม   ทุกชนชั้นผู้เป็นมุอ์มิน  ยกเว้นแต่พวกกาฟีรทุกประเภทผู้ซึ่งถูกพระองค์กริ้ว  ยะฮูดี  และ  ยกเว้นแต่พวกที่หลงงมงายคือพวกนัสรอนีด้วยเทอญ >>> (วรรคที่ 6-7 ส่วนที่ 30 บทที่ 114  อัล-ฟาดีหะห์  หน้า 2712)

 

 

MUHAMMAD
พระผู้ทรงรจนาพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ในนามของพระองค์อัลเลาะห์
และทรงรอบรู้พระคัมภีร์ที่มีมาก่อนทุกพระคัมภีร์
 

ซึ่งจะเห็นว่าโองการสุดท้ายนี้ ได้ออกนาม กาฟิร  ยะฮูดี  กับ  นัสรอนี  ว่าเป็นกลุ่มชนที่พระเจ้ามิให้มีการอภัยโทษ ไปจนกว่าจะถึงวันสิ้นโลก  ยะฮูดี ก็คือชาวยิว หรือ อิสราเอล  นัสรอนี  ก็คือชาวคริสต์  ส่วน กาฟิร  หมายถึงคนนอกศาสนาอิสลามทั้งหมด ถือว่าเป็นคนป่าเถื่อนที่มุอ์มิน คือมุสลิมไม่ต้องอภัยให้ 

ซึ่งโดยเหตุผลของมนุษยชนผู้เจริญแล้ว  มุสลิมจำต้องเชื่อฟังโองการสุดท้ายนี้หรือ ?

ในเมื่อเป็นคำสั่งให้ผูกโกรธชาวอิสราเอล และชาวคริสต์ไปตลอดกาล และรวมทั้งมนุษย์ชนคนทั้งโลกผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอิสลาม  ไม่ให้มีการอภัยทั้งสิ้น  ตามโองการที่ว่า "ยกเว้นแต่พวกกาฟีรทุกประเภทผู้ซึ่งถูกพระองค์กริ้ว  ยะฮูดี  และ  ยกเว้นแต่พวกที่หลงงมงายคือพวกนัสรอนีด้วยเทอญ"

 

นั้นหมายความว่า มุสลิมมีหน้าที่ต้องเข่นฆ่า  ทำสงครามกับชาวอิสราเอล และชาวคริสต์  คนนอกศาสนาอิสลามไปจนกว่าเผ่าพันธ์ของชน 2 เผ่าชาติ คนนอกศาสนาอิสลามนั้น หมดสิ้นไปจากโลก ?

มุสลิมจะต้องเชื่อและปฏิบัติตามโองการเช่นนี้หรือ ?  ด้วยเหตุผลและความชอบธรรมอย่างไร ?

 

  •  ผู้แสดงความคิดเห็น  บุษบา บุญเสฏฐ์  อรบุศ ละอองธรรม
    วันที่ 29 มิถุนายน 2558  23.20 น.

 

 

 

 

  ความเห็นที่ 51  

เรากำลังจะไปเชื่อมต่อ อินโดนีเซีย หรือ สาธารณรัฐ อินโดนีเซียแล้วครับ  ดูภาพนี้ครับ  ท่านคิดว่าอย่างไรครับ ? 

 

  

  • ผู้แสดงความคิดเห็น  ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
    วันที่ 30 มิถุนายน 2558  08.30 น.

 

 ความคิดเห็นที่ 52

ขอแถมอีก 2 ภาพ  ของอินโดนีเซียนะครับ

 

  

 

ธงชาติ 2 สีของอินโดนีเซีย แดง ขาว 

  • สีแดง หมายถึงความกล้าหาญและอิสรภาพของมนุษย์
  • สีขาว หมายถึงความบริสุทธิ์ หรือจิตวิญญาณของมนุษย์ [4]

การเชิญธงชาติอินโดนีเซียขึ้นสู่ยอดเขาครั้งแรกในพิธีประกาศเอกราช
วันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) 

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น  นายวิจัยประชาธิปไตย
    วันที่ 1 กรกฎาคม 2558  07.43 น.

 

 

 

 ความคิดเห็นที่ 53

 
มาดูแผนที่ใหม่  ข้อมูลใหม่อีกครั้งนะครับ  Republik of Indonesia  สาธารณัฐอินโดนีเซีย 
 
 
 
a global maritime axis, a global civilization hub.
แกนกลางของประชาชาติแห่งการค้าขายทางทะเล และเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของโลก
 
 
 
ซูการ์โน [Sukarno] ผู้นำการต่อสู้เพื่อเอกราช และจะเป็นประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนแรก พาประชาชนชักธงชาติประกาศเอกราชอินโดนีเซีย  วันที่ 17 สิงหาคม  1945(2488) นับย้อนหลังไปก็ 70 ปีพอดีตรงกับยุคนายควง อภัยวงศ์ หน.ปชป.เป็นนายกรัฐมนตรีไทยปกครองประเทศไทยอยู่พอดี(2489ราชอาณาจักรสยามรันทดทั้งแผ่นดิน แล้วมีมารปีศาจประชาธิปไตยตะโกนในโรงหนังว่า ปรีดีฆ่าในหลวง เป็นเหตุให้ประชาธิปไตยไทยพังลง)   ก็เพราะญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2  โดนปรมาณูของสหรัฐเข้า 2 ลูก  คนญี่ปุ่นตายไป 2 เมือง 6 ส.ค.1945(2488) ฮิโรชิมา ตาย 80,000 คน 9 ส.ค.1945(2488)นางาซากิตาย 40,000 รวม 120,000 คนเศษ ๆ ไม่นับพวกที่โดนรังษี ที่ทะยอยตายต่อไปอีก ยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 15 ส.ค. 1945(2488)
 
อีก 2 วันต่อมา 17 ส.ค. 1945(2488) ซูการ์โน พาชาวอินโดนีเซียชักธงชาติประกาศอิสรภาพทันที ดังกล่าว(ดูภาพข้างต้นนะครับ)  แต่แล้วดัทช์ หรือประเทศฮอลแลนด์ ก็ไม่ยอม  เพราะตนเองได้เป็นเจ้านายอินโดนีเซีย ๆ เป็นอาณานิคมดัทช์มาก่อนญี่ปุ่นบุกเข้ามาถึง 343 ปี [จาก ค.ศ.1602-1945]   พอญี่ปุ่นพ่าย ถอยไป ก็กลับมาคุมอำนาจต่อ  ซูการ์โน เลยต้องยอมแด่ดัทช์ต่อไปอีก ดัทช์ดึงเรื่องไว้จนถึงเดือน ธันวาคม 1949(2492) จึงยอมให้เป็นอิสรภาพให้เป็นประเทศ สาธารณรัฐ อินโดนีเซีย
 
นั้นเป็นสิ่งที่น่าคิดมาก ว่าช่วงที่ดัทช์กลับมาใหม่ นั้น น่าเป็นเวลาที่ดัทช์ ได้ตั้งใจสั่งสอนอินโดนีเซีย โดย ซุฮาร์โต และคณะที่จะปกครองประเทศต่อไป เข้าฟังเลคเชอร์เรื่อง  ประชาธิปไตย จากดัทช์ จนครบเวลา 4 ปีเต็ม ๆ ดัทช์เห็นว่า เข้าใจดีแล้ว ก็ยอมให้อินโดนีเซียเป็นเอกราช โดยหวังว่าอินโดนีเซียจะต้องเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้องจริงในย่านสมุทรนี้  และแน่นอน เอเชียอาคเนย์ ต้องดูอินโดนีเซีย เป็นตัวอย่าง
 
ฉะนั้น ซูการ์โน จึงได้ประกาศอุดมการณ์แห่งชาติอินโดนีเซีย ที่เป็นหลักประชาธิปไตย(สากล)อย่างสมบูรณ์มาก นั่นคือ   หลักปัญจศีล ที่ซูการ์โน เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบปัญจศีล และให้ทุกองค์การ ทุกสังคมร่วมมือเคารพหลักการนี้ และนักการเมืองรุ่นต่อมาก็เข้าใจ ครั้นล่วงมาถึง พ.ศ. 2528 ทุกองค์กรและพรรคการเมืองถูกบังคับให้รับหลักปัญจศีลเป็นอุดมการณ์เดียวกันและบัญญัติไว้เป็นแนวทางในรัฐธรรมนูญอีกด้วย 
 
และเราได้เห็นว่า การดำเนินการเลือกตั้งของอินโดนีเซีย ตลอดมา มีความหมายและถูกตามหลักประชาธิปไตยอย่างยิ่ง [จะมีที่น่าสมเพชบ้างก็กรณี ทหารได้อำนาจมาบ้าง คือพลเอก สุฮาร์โต บ้าอำนาจหน่อย ครองไปถึง 31 ปี แต่ก็แก้ไขได้]  แม้กระทั่งการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2557 [ประกาศผลเมื่อ 22 ก.ค.2557] ก็ได้ชื่อว่าเป็นการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ และน่าดูเป็นแบบอย่าง
 
ลองฟังคำปราศรัยของนาย โจโกวิโดโด แห่งพรรคต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนล่าสุด[คนที่ 7]ของ สาธารณรัฐอินโดนีเซียดูนะครับ ท่านว่าอย่างนี้
 
 
 
 

โจโก วิโดโด ปธน.อินโดนีเซียคนใหม่ คนที่ 7

 

 
 
<<< ชัยชนะครั้งนี้เป็นชัยชนะของชาวอินโดนีเซียทั้งมวล เราหวังว่าชัยชนะครั้งนี้จะปูทางไปสู่ ความเป็นประเทศอินโดนีเซียที่มีเกียรติภูมิทางการเมือง อินโดนีเซียที่พึ่งพาตนเองได้ทางเศรษฐกิจ และอินโดนีเซียที่มีบุคลิกภาพทางวัฒนธรรมเป็นอัตลักษณ์” … “นี่เป็นเวลาแห่งการประสานรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างกัน ขอจงได้ลืมเรื่องที่ว่าใครได้ที่หนึ่ง-ที่สอง; ขอเราจงกลับมาสู่อินโดนีเซียที่มีความสามัคคีสมานฉันท์กัน …ขอให้เรามาสามัคคีกัน ทำงานร่วมกัน พัฒนาอินโดนีเซียให้เป็นแกนกลางของประชาชาติแห่งการค้าขายทางทะเล และเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของโลก”>>>
 
<<< “This victory is the victory of all people of Indonesia. We hope it will pave the way 
to create a politically dignified Indonesia, with economic self-sufficiency and cultural personality,”  … ““This is the time to mend broken relationships. Forget about number one or number two; let’s return to a united Indonesia,…Let’s work together to develop Indonesia into a global maritime axis, a global civilization hub.” >>>
 
(เขาแปลจากภาษาชะวา เป็นภาษาอังกฤษ แล้วแปลอังกฤษต่อมาเป็นภาษาไทย นะครับ)
 
 
 
ฟังซิครับ เขาเชื่อมั่นได้อย่างไรจึงกล้าพูดอย่างนั้น ????   กล้าพูดว่า 
 
<<< to develop Indonesia into a global maritime axis, a global 
civilization hub.”>>>
 
<<< พัฒนาอินโดนีเซียให้เป็นแกนกลางของประชาชาติแห่งการค้าขายทางทะเล 
และเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของโลก”>>>
 
 
คำตอบคือ   เมื่อเข้าใจประชาธิปไตย มั่นใจในศาสนาประชาธิปไตย เป็นสาวกที่ดีเยี่ยมแล้ว ก็มั่นใจได้เลยครับว่า ประชาธิปไตยนั่นเอง จะนำไปสู่อารยธรรมอันสูงส่ง   อารยธรรมแห่งชัยชนะนิรันดร
 
อินโดนีเซียเขากำลังก้าวไปแล้วครับ เขาจะไปไกลกว่าใคร ๆ ในโลกเลยละ อย่าว่ากับเมืองไทย ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยจริง ๆขณะนี้     
 
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น นายวิจัยประชาธิปไตย
    วันที่ 2 กรกฎาคม 2558 22.01 น.

 

 

 

 ความคิดเห็นที่ 54

 ดูภาพนี้ก่อนนะครับ  ภาพในอินโดนีเซีย  ท่านผู้ใดรู้เรื่องดี ช่วยออกความเห็นด้วยนะครับ เหมือนมาขับไล่กองทัพ 

 

 

 

แล้วมาดูภาพคู่นี้อีกทีหนึ่งครับ                                                                                             

ธงชาติ 2 สีของอินโดนีเซีย แดง ขาว                                                                       

  • สีแดง หมายถึงความกล้าหาญและอิสรภาพของมนุษย์
  • สีขาว หมายถึงความบริสุทธิ์ หรือจิตวิญญาณของมนุษย์ [4]

 

       

 

 อุดมการณ์ ประชาธิปไตยแบบปัญจศีล ของอินโดนีเซีย

 

 

 จะเห็นว่า หลักการของธงชาติ 2 สี  และหลักการ ปัญจศีล  ไม่ได้มาจากหลักการศาสนาอิสลามเลย (มีข้อ 1 แต่มีความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่)  รวมแล้ว  นี่คือ  การเขียนออกมาโดยอิงอยู่บนหลักการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หลักศีล 5 ไม่ใช่ศีล 5 ทางศาสนา  แต่เป็นศีล 5 ทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย ครับ (ศีลแปลว่าหลักการน่ะครับ)

ฉะนั้น  จึงเป็นเหตุให้มีฝ่ายศาสนาดั้งเดิม  ไม่พอใจเป็นอย่างมาก  โดยมองว่า ความคิดนี้เป็นความคิดของมนุษย์ ย่อมไม่อาจจะเชื่อถือได้  มุสลิมเชื่อและฟังพระเจ้า คือหลักศาสนาอิสลามเท่านั้น ว่าความคิดมนุษย์สู้ความคิดพระเจ้าไม่ได้ ฟังพระเจ้าแล้วก็จบ  และนำไปสู่การแตกความคิดทางการเมืองอย่างร้ายแรง เป็น 2 พวกใหญ่ คือมุสลิม(พวกที่เชื่อพระเจ้า) กับคอมมิวนิสต์(พวกที่เก่งกว่าพระเจ้า)  เหตุการณ์อันร้ายแรงต่อมา  มีการเข่นฆ่า ประหารชีวิตกัน ตายไปกว่า 750,000 คน

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย  เป็นโศกนาฎกรรมแห่งเอเซียแห่งยุคก็ว่าได้  ดูรวันดาเปรียบเทียบนะครับ  

....สำหรับเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดานั้น ตลอดระยะเวลาหนึ่งร้อยวันที่เกิดเรื่อง ประมาณการว่ามีชาวรวันดาเสียชีวิตราว 800,000 – 1,070,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นชาวทุตซีราวแปดแสนคน นับเป็นตัวเลขการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่สูงมากในระยะสั้นๆเพียงร้อยวัน และกลายเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญของมนุษยชาติ....

ตามบันทึกประวัติศาสตร์อันเลวร้ายของอินโดนีเซียใหม่ช่วงนั้น  ดังนี้ครับ 


            - การปกครองประเทศของในช่วงหลังจากได้รับเอกราชไม่สามารถสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้ ทำให้ประธานาธิบดีซูการ์โนประกาศยุบสภา ในปี พ.ศ. 2502 และได้จัดตั้งสภาที่ปรึกษาประชาชนขึ้นแทน และนำการปกครองแบบ “ประชาธิปไตยแบบชี้นำ” มาใช้ นโยบายต่างประเทศในช่วงนี้เน้นการเผชิญหน้ากับเนเธอร์แลนด์และมาเลเซีย ต่อมา ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2508 เกิดการปฏิวัติโดยกลุ่มนายทหาร โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิตส์อินโดนีเซีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านการเงินและยุทธโธปกรณ์จากจีน การปฏิวัตินำไปสู่การนองเลือด โดยได้มีการสังหารสมาชิกพรรคคอมมิวนิตส์ และสมาชิกองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องถึง 750,000 คน

            - ในเดือนมีนาคม 2509 พันตรีซูฮาร์โต(สุฮาร์โต)ได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง และรักษาการในตำแหน่งประธานาธิบดี  
ในเดือนมีนาคม 2510 และได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีอินโดนีเซียต่อมาถึง 7 สมัย
 
ประธานาธิบดีซูฮาร์โต(สุฮาร์โต)ปกครองประเทศโดยใช้ \"กลุ่มอาชีพ\" หรือโกลคาร์(ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นพรรคโกลคาร์) เป็นฐานเสียงสนับสนุนอำนาจทางการเมือง รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ โดยกำหนดให้ทหารมี “ทวิภารกิจ” คือ มีบทบาททางการเมืองและสังคม นอกเหนือจากบทบาทด้านความมั่นคง ประธานาธิบดีซูฮาร์โต(สุฮาร์โต)ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจของอินโดนีเซียให้เจริญก้าวหน้า 
 
แต่ปัญหาการคอรัปชั่น ระบบอุปถัมภ์ ทำให้ประชาชนไม่พอใจที่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ตกอยู่กับครอบครัวประธานาธิบดีซูฮาร์โต(สุฮาร์โต)และพวกพ้อง

            - ต่อมา เมื่อเกิดวิกฤติการเงินและเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 จนรัฐบาลอินโดนีเซียต้องลงนามความตกลงกู้เงินจาก IMF และมีภาระผูกพันในการปฏิรูปเศรษฐกิจ ภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองทำให้ประชาชนไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้น และในปี 2541 ได้เกิดเหตุการณ์ยิงนักศึกษามหาวิทยาลัยตรีสักตีเสียชีวิต ซึ่งได้ลุกลามเป็นจลาจล และการเผาทำลายอาคารร้านค้า
 
ในระหว่าง 12-15 พ.ค. 2541 หลายฝ่ายรวมทั้งทหารได้สร้างแรงกดดันจนประธานาธิบดีซูฮาร์โต(สุฮาร์โต)ประกาศลาออกจากตำแหน่งใน 21 พ.ค. 2541

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น  ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
    วันที่ 5 กรกฎาคม 2558  10.02 น.

 

 

 

 ความคิดเห็นที่ 55 

เราจะสรุปอินโดนีเซีย ด้วย  ปัญจศีลประชาธิปไตย นะครับ

 

ปัญจศีล (ภาษาอินโดนีเซีย:Pancasila) เป็นคำที่มาจากภาษาชวาโบราณที่รับมาจากภาษาสันสกฤต

หมายถึงหลัก 5 ประการที่เป็น

 

 

 

ปรัชญาแห่งรัฐของอินโดนีเซีย คือ

 

 

1. ความเชื่อในพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว สัญลักษณ์เป็นรูปดาวบนพื้นดำ

 

 

 

 

2. มนุษยนิยม สัญลักษณ์เป็นรูปโซ่บนพื้นแดง

 

 

 

3. ชาตินิยมแห่งความเป็นอินโดนีเซีย สัญลักษณ์เป็นรูปต้นบันยังซึ่งเป็น

 

มะเดื่อพื้นเมืองชนิดหนึ่ง

 

 

4. หลักการแห่งประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน สัญลักษณ์เป็นรูปหัว

 

 

 

5. ความยุติธรรมในสังคมสำหรับชาวอินโดนีเซียทั้งหมดโดยเท่าเทียมกัน สัญลักษณ์เป็นรูปรวงข้าวและดอก

 

 

 

 
 
 
 

ภาคภาษาอังกฤษว่าดังนี้ครับ

 

 

 

 
 
In brief, and in the order given in [the 1945] constitution, the Pancasila principles are:
 
 
[1.] belief in one supreme God;
 
 
[2.] humanitarianism;
 
 
[3.] nationalism expressed in the unity of Indonesia;
 
 
[4.] consultative democracy; and
 
 
[5.] social justice.
 
 
 

คำอธิบายที่ดีที่สุด  ของผู้นำอินโดนีเซียคนหนึ่ง(พล.อ.สุฮาร์โต)   ดังนี้ครับ ผมย่อให้นะครับ

ประชาธิปไตยแบบปัญจศีล (Pancasila democracy) 

 

1. ประชาธิปไตยแบบปัญจศีลหมายถึง  "ประชาธิปไตย"อันคือหลักการในเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน 

 

 

2. ให้คุณค่าอย่างสูงต่อความเป็นมนุษย์ตามหลักคุณค่าและเกียรติ์ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ 

 

 

3. ระบอบประชาธิปไตยแบบปัญจศีลมีรากกำเนิดจากการตระหนักถึงคุณค่าของครอบครัวและความร่วมมือแก่กันและกัน

 

 

4. ระบบพรรคการเมืองจะได้รับการประกันเพื่อที่จะเอื้อให้เกิดกลไกที่ดีและสร้างสรรค์สำหรับสิทธิของประชาชนในการที่จะจัดตั้ง เข้าร่วม และแสดงความคิดเห็นหรือจุดยืนทางการเมืองของตน พรรคการเมืองจะทำให้หลักการ "ปกครองโดยประชาชนซึ่งนำพากับภูมิปัญญาอันเกิดจากการใคร่ครวญและการมีตัวแทน" เกิดขึ้นได้ดังที่กำหนดไว้ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1945 ในฐานะเครื่องมือของระบอบประชาธิปไตย

 

 

 

5. เทิดทูนหลักสิทธิมนุษยชน และสิทธิประชาธิปไตยของพลเมืองทุกคนไว้อย่างสูงส่ง โดยผู้ใช้สิทธิเหล่านี้จะต้องจงรักภักดีต่อความดีงามที่ยิ่งใหญ่กว่า คือความดีของสังคม ของประชาชน และของรัฐ
 
 
6. ในการใช้เสรีภาพทางศาสนาของงเรานั้น จำเป็นต้องบอกไว้ด้วยว่า การทำตามศาสนบัญญัติดังที่กำหนดไว้ในหลักศาสนาต่าง ๆ ของเรานั้น เราควรช่วยกันสอดส่องเพื่อให้แน่ใจว่า ความแตกต่างด้านความคิดไม่ได้เกิดขึ้น
 
พลเอกสุฮาร์โต้ อดีดประธานาธิบดีผู้นี้ ไม่ได้พูดถึงอำนาจประชาธิปไตยว่าต้องแบ่งปันกัน อย่าคิดยึดเอาเป็นของตนคนเดียวเป็นอันขาด ตอนแกเป็นประธานาธิบดี
แกเลยยึดครองอำนาจไปคนเดียวถึง 31 ปี (สภาเผด็จการของแกเลือกแกเป็นต่อกันถึง 7 สมัย จนที่สุดประชามหาชนอินโดนีเซีย รวมทั้งทหารกลุ่มที่เข้าใจหลักการประชาธิปไตย รวมพลังกันขับไล่พลเอกสุฮาร์โตออกไปจากอำนาจ ขับไล่ออก(ทำงานไม่เป็น เป็นแต่ใช้กำลังไปคุมนั่นคุมนี่) จำลาออกไปอย่างน่าอับอายโดยดี
 

 

พลเอกสุฮาร์โต อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ ไม่ได้พูดถึงอำนาจประชาธิปไตยว่าต้องแบ่งปันกัน อย่าคิดยึดเอาเป็นของตนคนเดียวเป็นอันขาด ตอนแกเป็นประธานาธิบดี แกเลยยึดครองอำนาจไปคนเดียวถึง 31 ปี (สภาเผด็จการของแกเลือกแกเป็นต่อกันถึง 7 สมัย จนที่สุดประชามหาชนอินโดนีเซีย รวมทั้งทหารขับไล่ออกไปจากอำนาจ  จำลาออกอย่างน่าอับอายไปโดยดี  

 

ความหมายปัญจศีลข้อที่ 1  ในความหมายของประชาธิปไตยแล้ว  พระเจ้า จะหมายถึงหลักการที่ไม่มีตัวตนของประชาธิปไตย ครับ  ใช่ว่าหมายถึงพระเจ้ายะโฮวาห์ หรือ  อัลเลาะห์  องค์ใดองค์หนึ่ง    แต่คนประชาธิปไตย ย่อมเข้าใจดีอยู่แล้ว  เมื่อค่อยเป็นประชาธิปไตยไป  คำว่าพระเจ้าในข้อ 1 นี้  คนที่ยังไม่เข้าใจก็จะค่อยเข้าใจไปเป็น  พระเจ้าที่ไม่มีตัวตนแต่เป็นหลักการประชาธิปไตย(ที่ว่าด้วยมนุษย์ล้วน ๆ)   เช่นในศาสนาพุทธ  เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระองค์ตรัสว่า ไม่มีใครเป็นเจ้า เป็นผู้ปกครองหมู่สงฆ์ต่อจากพระองค์   จะมีพระธรรมวินัยเป็นผู้ปกครองอย่างสมบูรณ์ไปเท่านั้น

  

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น  ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
    วันที่ 6 กรกฎาคม 2558  10.30 น.

 

 

 

ได้โปรดคลิกต่อภาค 4 นะครับ

 

 

  

 โปรดคลิกติดตามต่อไป

 กระทู้ 1:เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น 

กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 1  
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 2  
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 3
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 4
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 5
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 6
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 7
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 8
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 9
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 10

กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 11
กระทู้ 1 เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ภาค 12 

                                                กระทู้ 2:  ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต

                                                            ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 1

                                                             ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 2

                                                             ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 3 

                                                             ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 4 

                                                             ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 5   

                  ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 6  

                                                             ประชาธิปไตยคือลมหายใจแห่งชีวิต ภาค 7 

 

                                                                        








[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (163980)
WOw!We are the strongest basketball team, we bring you the best shoes. kobe shoes http://www.kobe--shoes.com
ผู้แสดงความคิดเห็น kobe shoes (gwqrsu-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2016-09-27 17:31:29



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์ สื่อของเราทั้งหมดนี้ ได้กลายเป็นแดนสนุกน่าท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกกว่า 8 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน 8 พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น.